เมื่อคนไมรูทันความจริงของธรรม เขาก็นําทุกขในธรรมชาติมาสรางใหเปนทุกขของ
ตน
สําหรับ ทุกฺขํ ในไตรลักษณนี้ เรามักมองคําวาทุกขเปนความเจ็บปวด ที่จริงทุกขเปนสภาพตาม
ธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย หรือ สภาวะตามธรรมชาติ คืออาการที่สิ่งทั้งหลายไมสามารถคงอยูในสภาพเดิม
บางทีแปลวา stress หรือ confict คือภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปจจัย หรือ องคประกอบ
ตาง ๆ ที่เกิดดับบีบคั้นขัดแยงกันอยูตลอดเวลา แลวทุกขก็เปนภาพรวมที่เกิดจากความสัมพันธระหวางสิ่ง
เหลานั้น เมื่อองคประกอบแตละอยางเกิดขึ้นดับไป เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา องครวมนั้นไมสามารถคง
สภาพเดิมได เกิดการขัดแยงเปนความกดดันภายในแลวคงอยูไมได
สภาพที่ขัดแยง ฝน กดดัน คงอยูไ มไดทั้งหมดนี้ เรียกวา " ทุกข " ซึ่งเปนสภาวะธรรมชาติในสิ่ง
ทั้งหลาย เมื่อเราใชศัพทนี้กับภาวะในใจคน มีความหมายวา เปนภาวะที่จิตถูกกดดันบีบคั้น ก็มี
ความหมายคลาย ๆ กับทุกขในใจเรา คือภาวะที่ถูกบีบคั้น กดดัน ขัดแยง ไมสบาย ทนไมไหว ที่นี้ในสิ่ง
ทั้งหลายทุกขคือภาวะที่ตองผันแปรเปลี่ยน เกิดความขัดแยง กดดัน ทนอยูไมได
สวน อนตฺตา คือไมเปนตัวตนที่ยั่งยืนมั่นคงตลอดไป เปนเพียงภาพรวมของปรากฏการณแหง
กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงนั้น
เรื่องนี้ทํานองเดียวกับกฎทางวิทยาศาสตร ซึ่งมีอยูตามธรรมดาในธรรมชาติ ไมวาใครจะรูหรือไม
ใครมีปญญาสามารถคนพบแลวเอามาบอกกัน เรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา พระพุทธเจาตรัสวาเปนความจริง
ที่มีอยูตามธรรมดาของมัน ไมเกี่ยวกับพระพุทธเจาจะเกิดหรือไมเกิด พระพุทธเจาทรงเปนผูมาคนพบ
เปดเผย อธิบาย วางเปนระบบไว ตรงนี้แหละมาโยงกับอริยสัจ คือสิ่งทั้งหลายทั้งโลกรวมทั้งชีวิตคนเรา
เปนไปตามกฎธรรมชาติ มีความไมเที่ยง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีความกดดันขัดแยงภายใน
คงสภาพเดิมไมได เปนไปตามเหตุปจจัยที่สัมพันธกัน อยางรางกายเรานี้ก็เปลี่ยนไป ตอนเปนเด็กหนาตา
อยางหนึ่ง อายุมากขึ้นก็เปลี่ยนไปอีกอยางหนึ่ง
เมื่อสิ่งทั้งหลายเปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มนุษยเขาไปเกี่ยวของคือจะปฏิบัติ หรือ สัมพันธกับ
ธรรมชาติ กับโลก กับชีวิต ที่เปนไปตามกฎธรรมชาติดวย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
อวิชชา คือ ภาวะทีข่ าดความรู ความเขาใจ
ตัณหา คือ ความอยาก ความปรารถนาตอสิง่ ตาง ๆ โดยไมมคี วามรูค วามเขาใจ
อุปาทาน คือ การเขาไปยึดมั่น ถือมั่น ใหเปนอยางที่ตัวตองการเอาความปรารถนาของ
ตนเปนตัวกําหนด
ถามนุษยเขาไปสัมพันธกับสิ่งทั้งหลาย หรือพูดงาย ๆ วาสัมพันธกับโลกและชีวิต ดวยอวิชชา
ตัณหา อุปทาน ก็จะเกิดปญหาขึ้นกับชีวิตของตัวเองทันที ทุกขที่เปนอยูในธรรมชาติตามธรรมดาของมัน
คือเปนความขัดแยง คงอยูไมได ในสิ่งที่จะตองเปลี่ยนแปลงคืบเคลื่อนนั้น ก็จะเกิดเปนสภาวะที่กดดัน
ขัดแยงขึ้นในจิตใจของมนุษย ตอนนี้ ทุกขในธรรมชาติที่มีอยูตามธรรมดา กลายมาเปน ทุกข ปรุงแตงในใจ
เรา ที่จริงทุกขมีอยูตามธรรมดาในธรรมชาติ แตเมื่อเราไปสัมพันธปฏิบัติตอมันไมถูก จึงเกิดเปนทุกขในใจ
ของเราขึ้นมาและเมื่อสืบคนดู ก็จะรูวา อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เปนตัวกําหนดความสัมพันธของเราใน
กรณีนี้ ตัวนี้แหละที่ทานวาเปน "สมุทัย " คือเหตุแหงทุกข ตอนนี้สมุทัยมาแลว
สมุทัยนี้ ถาตรัสแคบทบาทหนาโรง ก็เอาตัณหาเปนตัวแสดง แตถาตรัสแบบเต็มโรง ทรงยกเอา
อวิชชาเปนตัวกํากับหลังโรง ขอใหดูเวลาตรัสวา อะไรคือสมุทัย พระพุทธเจาตรัสไว ๒ แบบ
แบบที่ ๑ ตรัสวา สมุทัย ไดแก ตัณหา คืออธิบายงาย ๆ วา " สิ่งทั้งหลายมันไปเปนไปตามใจ
อยากของคุณหรอก เมื่อคุณสัมพันธกับมันดวยความอยาก คุณก็ตองเปนทุกขเอง " แตเบื้องหลังตัณหา
คือความอยาก ความตามใจตัวนี้ ตัวการที่แทคือความไมรูเทาทันความจริง ซึ่งเปนเงื่อนไขเปดชองใหปจจัย
ตาง ๆ เขามาหนุนกันในการที่จะใหปญหานั้นเกิดขึ้นเพราะฉะนั้น
แบบที่ ๒ จึงตรัสแบบกระบวนการที่เริ่มตนจาก อวิชชา วาเปนปจจัยพื้นฐานของปญหา หรือ
ทุกข สมุทัยที่แทจริงเปนกระบวนธรรม ( ธรรมปวัตติ ) ตามกฎปฏิจจสมุปบาทวา อวิชชฺ า ปจฺจยา
สงฺขารา….. ซึ่งประมวลวาทั้งหมดนี้ คือ สมุทัยแหงทุกข
ตอนนี้จะเห็นไดวา กฎธรรมชาติมาสัมพันธกับมนุษยแลว ตอนแรกอาตมาพูดเริ่มจากฎธรรมฃาติ
กอนวา ความจริงของธรรมชาติ มันมีอยูตามธรรมดาของมัน สิ่งทั้งหลายดําเนินไปตามกฎธรรมชาตินั้น
เปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ตอนนี้มาถึงคนที่เขาไปเกี่ยวของกับสิ่งเหลานั้นโดยมี อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
เปนตัวกําหนด ก็จะเกิดปญหา มีทุกขขึ้นมา
อันนี้คืออริยสัจขอที่ ๑ และขอที่ ๒ คือการสัมพันธกับสิ่งทั้งหลายซึ่งมีศักยภาพที่จะใหเกิดทุกข
ดวย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเปนสมุทัยคือตัวเหตุ แลวเกิดทุกขในตัวคนขึ้นมา คือกาวจากทุกขในสิ่ง
ทั้งหลายที่มีอยูตามธรรมชาติ มาเปนทุกขในใจของเรา
นี่คือวิธีพูดแบบยอนกลับโดยเอากฎธรรมชาติเปนจุดเริ่มตนโดยเริ่มที่ สมุทัย คือมนุษยไป
สัมพันธกับสิ่งทั้งหลายไมถูกตอง โดยสัมพันธดวย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็เกิดเปน ทุกข ขึ้นมา
บนฐานแหงธรรมชาติมนุษยผูเปนสัตวตองศึกษา
พระพุทธเจาทรงตั้งหลักพระรัตนตรัยขึ้นมา
หลักพระพุทธศาสนาตรงนี้สําคัญที่สุด เพราะมนุษยฝกตนเอง และเมื่อฝกแลวประเสริฐสุด การที่
ยก พระรัตนตรัย ขึ้นมาตั้งเปนหลัก เพราะความจริงขอนี้คือ
ก ) พระพุทธเจาทรงเปนตนแบบ โดยเปนสรณะเปนเครื่องเตือนใจใหระลึกวา ตัวเรานี้เปน
มนุษยผูหนึ่ง พระพุทธเจาเมื่อกอนที่จะทรงฝก พระองคก็เปนมนุษยอยางพวกเรานี้ เราจึงมีศักยภาพที่จะ
ฝกใหประเสริฐอยางพระพุทธเจาได พระพุทธเจาทรงเปนผูประเสริฐเลิศสูงสุด ตรัสรูสัจธรรม มีพระ
คุณสมบัติสมบูรณทุกประการเพราะไดทรงฝกดังที่เรียกวาทรงบําเพ็ญบารมีมากมายจนเต็มสมบูรณ เรา
จึงตั้ง " พุทธะ " ขึ้นมาเปนแมแบบวา ดูสิ มนุษยผูฝกดีถึงที่สุดแลว พัฒนาดีแลว มีปญญารูสัจธรรม
บริสุทธิ์หลุดพน เปนอิสระ อยูเหนือโลกธรรม มีความสุข มีชีวิตที่ดีงาม มีคุณธรรม ความดีงามที่สมบูรณ
เปนที่พึ่งของขาวโลก เลิศประเสริฐขนาดนี้ พอระลึกไดอยางนี้ก็เกิดศรัทธาที่เรียกวา ตถาคตโพธิสัทธา
คือ
เชื่อในปญญาตรัสรูของพระพุทธเจา ซึ่งมีความหมายตอไปอีกวา เชื่อในปญญาที่ทําใหมนุษยกลายเปน
พุทธะ เพราะฉะนั้นการที่ถือเอา พระพุทธเจาเปนสรณะ นั้น ความหมายอยูที่นี่ คือ
๑. ทําใหเกิดศรัทธาที่โยงตัวเราเขาไปหาพระพุทธเจาวา จากความเปนมนุษยอยางเรานี้ พระองค
ไดบําเพ็ญบารมีฝกฝนพระองคจนเปนพระพุทธเจา เราก็เปนมนุษยเชนเดียวกัน ถาเราฝกตนจริงจังใหถึง
ที่สุด เราก็จะเปนอยางพระองคได ทําใหเราเกิดความมั่นใจวา เรามีศกั ยภาพที่จะฝกใหเปนอยาง
พระพุทธเจาได
๒. เตือนใจใหระลึกถึงหนาที่ของตนเองวา เราเปนมนุษยซึ่งจะดีเลิศประเสริฐได ดวยการฝกฝน
พัฒนาตน การฝกฝนพัฒนาตนเปนหนาที่แหงชีวิตของเรา หรือ ของชีวิตที่ดี เราตองฝกศึกษาพัฒนาตนอยู
เสมอ
๓. ใหเกิดกําลังใจวา การฝกฝนพัฒนาตนนี้ พระพุทธเจาไดทรงทํามาจนสําเร็จผลสมบูรณแลว
พระองคทําได แสดงวาเราก็สามารถทําได แมการฝกศึกษาบางครั้งจะยากมาก อาจทําใหเรายอทอ แตเมื่อ
ระลึกถึงพระพุทธเจาวา พระองคเคยประสบความยากลําบากมากกวาเรานักหนา พระองคก็กาวฝาผาน
ลุลวงไปได เราก็จะเกิดกําลังใจที่จะฝกฝนตนตอไป
๔. ไดวิธีลัดจากประสบการณของพระองค พระพุทธเจาทรงปฏิบัติลําบากยากเย็นยิ่ง ลองผิดลอง
ถูก บําเพ็ญบารมีกวาจะเปนพุทธะได เมื่อพระองคตรัสรูแลว ทรงประมวลประสบการณของพระองคมาวาง
เปนหลักสอนเราใหเขาใจงายขึ้น เทากับบอกวิธีลัดใหเรา ซึ่งเราเอามาใชไดทันที ไมตองลําบากอยาง
พระองค
การระลึกถึงพระพุทธเจาเปนสรณะไดประโยชนถึง ๔ ประการ เราจึงตั้งพระพุทธเจาเปน
องคแรกของรัตนตรัย เปนสรณะขอที่ ๑
ข ) เมื่อระลึกถึงพระพุทธเจาเปนแมแบบแลว ก็คิดจะฝกศึกษาพัฒนาตน ตองรูหลักรูความจริง
ของกฎธรรมชาติคือ ธรรมะ และตองปฏิบัติตามธรรมนั้น ฉะนั้นพระพุทธเจาจึงเปนจุดเริ่มที่นําเราเขาไปสู
ธรรมะ พูดงาย ๆ วา จากพุทธะโยงไปหา " ธรรมะ " คือตัวความจริงของธรรมชาติที่มนุษยตองรูและ
นํามาใชปฏิบัติ
ค ) การจะรูธ รรมและปฏิบตั ติ ามธรรมใหเปนอยางพระพุทธเจานั้น มนุษยทั่วไปไมไดฝกตนมา
มากมายถึงชั้นที่จะรูและทําไดเองอยางพระสัมมาสัมพุทธเจา และไมจําเปนตองฝกถึงขนาดนั้น เพราะเรา
มีพระพุทธเจาที่ทรงรูธรรม รูทางและบอกวิธีใหแลว เราก็ฟงคําสอนจากพระองคและปฏิบัติตามโดยถือเอา
พระองคเปนแบบอยาง แมพระองคปรินิพพานแลว เราก็ฟงคําสอนของพระองคจากพระสงฆที่รักษาสืบ
ตอคําสอนของพระองคมาถึงพวกเรา ตามปกติมนุษยทั่วไปจะปฏิบัติธรรม ฝกตนใหกาวหนาโดยลําพัง
ตนเองไดยาก ตองอาศัยบุคคลและสภาพแวดลอมตาง ๆ ชวยเกื้อหนุนไดดีที่สุด คือ ชุมชนที่จัดตั้งไวอยางดี
ที่เรียกวา " สังฆะ " ในชุมชนแหงสังฆะ นอกจากมีผูไดฟง ไดรู ไดฝกปฏิบัติธรรมมากอน เชน ครู อาจารย
ที่จะเปนกัลยาณมิตรชวยแนะฝกสอนเราแลว ระบบความเปนอยู วิถีชีวิต การสัมพันธกับเพื่อนรวมชุมชน
การจัดสรรสิง่ แวดลอม บรรยากาศของชุมชน ทุกอยางชวยเกื้อหนุนใหเราฝกตนกาวไปในการรูและปฏิบัติ
ธรรมไดอยางดีที่สุด เมื่อเรากาวหนาไปแลวก็เปนกัลยาณมิตรเกื้อหนุนผูอื่นดวย
อนึ่ง มนุษยถึงจะมีศักยภาพที่จะเปนอยางเดียวกับพระพุทธเจา แตระหวางปฏิบัติเราจะมี
พัฒนาการในระดับตาง ๆ ไมใชอยู ๆ ก็เปนพุทธะไดทันที มนุษยที่ปฏิบัติโดยมีพัฒนาการในระดับตาง ๆ ก็
รวมกันเปนชุมชนที่ดีงาม ประเสริฐ คือ สังฆะ ถาเรียกตามภาษาปจจุบันคือ " สังคมอุดมคติ " ซึ่งมนุษยทุก
คนควรมีสวนอาศัยและรวมสรางชุมชนนี้ขึ้นมาใหได ดวยการฝกพัฒนาตัวเองของแตละคนขึ้นไป
เพราะฉะนั้น หลักพระรัตนตรัย คือ หลักอุดมคติ ที่เปนจุดหมาย เปนอุดมการณ
เปนหลักสําหรับชาวพุทธ ซึ่งตองถือวา
๑. เตือนใจระลึกถึงศักยภาพของตัวเองและปฏิบัติหนาที่การพัฒนาตนเองใหเปนอยาง พุทธะ
๒. เตือนใจระลึกวาการพัฒนาตนใหสําเร็จ ตองรูเขาใจและปฏิบัติใหถูกตองตามหลักความจริง
ของกฎธรรมชาติ คือ ธรรมะ
๓. เตือนใจระลึกวา เราแตละคนจะรวมอาศัย รวมสรางสังคมอุดมคติ ดวยการมี / เปน
กัลยาณมิตรและเจริญงอกงามขึ้นในชุมชนแหง อารยชน หรือ อริยบุคคล ที่เรียกวา สังฆะ
นี่คือ หลักพระรัตนตรัย จะเห็นวาทัง้ ๓ หลักโยงถึงกันหมด
ความจริงแหงธรรมดาของโลกและชีวิตที่ตองรูใหทันและวางทาทีใหถูก
ธรรมชาติของมนุษยซึ่งเปนสัตวที่ฝกได พัฒนาได จะเปนนิวตันก็ได เปนไอนสไตนก็ได หรือจะเปน
กวีที่เกงกาจ เปนนักการศึกษา ฯลฯ เปนไดหมด จนกระทั่งประเสริฐสุด เปนพุทธะก็ได เมื่อมนุษยผูฝกตน
ได จะพัฒนาตนสําเร็จ ตองรูเขาใจความจริงของกฎธรรมชาติ และปฏิบัติใหถูกตามกฎนั้น ในบรรดากฎ
ธรรมชาติทั้งหลาย กฎใหญคือความเปนไปตามเหตุปจจัย ซึ่งเปนอยางหนึ่งในหลักใหญที่สุด
ที่พระพุทธเจาตรัสไว ๒ หลัก คือ
๑. หลัก ไตรลักษณ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
๒. เบื้องหลังความเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือกฎธรรมชาติแหงความเปนไป
ตามเหตุปจจุบัน ไดแก อิทัปปจจยตา
ฉะนั้นตอจาก ไตรลักษณ พระพุทธเจาทรงสอนเรื่อง ปฏิจจสมุปทา หรือ ที่เรียกเต็มวา
อิทัปปจจยตาปฏิจจสมุปบาท คือ ความเปนไปตามเหตุปจจัยของสิ่งทั้งหลาย
ถาเราเขาถึงกระบวนการของเหตุปจจัย หลักการตาง ๆ โยงถึงกันแจมแจงหมดและเขาสูการ
ปฏิบัติการที่จะฝกตนได ถารูแค อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรายังทําอะไรไมได แครูทันวาสิ่งทั้งหลายเกิดดับ
เปลี่ยนแปลง ไมเที่ยง ไมคงที่ คงอยูสภาพเดิมไมไดเปนไปตามเหตุปจจัย ก็ไดแครูและวางใจแตยังทําไมได
แตพอรูวา กฎแหงเหตุปจจัยที่อยูเบื้องหลัง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ อิทัปปจจยตา ก็มาลงมือทําคือเอา
มาใฃในการฝกฝนพัฒนาตนของมนุษยซึ่งเปนการเชือมระหว ่ างธรรมชาติพิเศษของมนุษยกับธรรมชาติ
สามัญของสิ่งทั้งหลาย พระพุทธศาสนามองชีวิตของมนุษยวาเกิดจากองคประกอบตาง ๆ มาประชุมกัน
โดยสัมพันธกันเปนระบบกระบวนการ เราจะเขาใจตองแยกดูองคประกอบ ตอนแรกก็แยกชีวิตออกกอน
สําหรับมนุษย
การแยกอยางงายที่สุดคือ รูปธรรม ( กาย ) กับ นามธรรม ( ใจ )
เมื่อแยกละเอียด ดานรูปธรรม หรือรางกาย ประกอบดวยธาตุตาง ๆ มาประชุมกันเขา มี
มหาภูตรูป ๔ อุปาทายรูป ๒๔ และในแตละอยางก็แยกยอยออกไปอีก
สวนดานนามธรรม หรือ ทางใจ ก็แยกออกเปน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
• เวทนา แยกยอยเปน เวทนา ๓ หรือ เวทนา ๕ หรือ เวทนา ๖
• สัญญา แยกยอยเปน สัญญา ๖
• สังขาร แยกยอยออกเปนตาง ๆ เชน สัญเจตนา ๖ เจตสิก ๕๐
• วิญญาณ แยกยอย เปน ๖ เปน ๘๙ หรือ เปน ๑๒๑
ซึ่งเปนการจําแนกแยกแยะในระบบ ขันธ ๕ อยางนี้เปนระบบแยกซอย เปนการศึกษาธรรมชาติของชีวิต
มนุษย เหมือนนักวิทยาศาสตรแยกแยะองคประกอบดานรูปธรรม แตในที่นี้แยกออกเปนแบบงาย ๆ คือ
กาย กับ ใจ
ชีวิตมนุษยไมไดอยูนิ่งเฉย ตองเคลื่อนไหว ที่เรียกวา ดําเนินชีวิต แมรถยนตซึ่งไมมีชีวิตก็มีการ
เคลื่อนไหว เมื่อแยกองคประกอบมันออกมาดู ก็ศึกษาตอนมันวิ่งแลน วามันทํางานอยางไร โดยศึกษา
ความสัมพันธระหวางองคประกอบยอยขณะทํางาน
ชีวิตของเราก็เชนกัน เมื่อแยกสวนออกดูองคประกอบตอนอยูนิ่งเฉย ก็ตองศึกษาขณะที่มันดําเนิน
ไป หรือขณะทํางาน เหมือนแพทยศึกษาชีวิตดานกาย ตองศึกษา anatomy คือกายวิภาค แยก
องคประกอบใหเห็นอวัยวะตาง ๆ วามีอะไรบาง เปนอยางไร แลวก็ศึกษา physiology คือสรีรวิทยา ใหรูวา
อวัยวะตาง ๆ ทํางานอยางไร และสัมพันธกันอยางไร ทั้งเปนกระบวนการและเปนระบบ ในทางธรรมก็เริ่ม
ดวยแยกองคประกอบที่อยูนิ่ง ๆ เปน กาย กับ ใจ ตอจากนั้นก็แยกใหเห็นการทํางานเปนกระบวนการวา
องคประกอบทั้งหลายสัมพันธเปนปจจัยแกกันอยางไร การแยกองคประกอบแบบนี้จะเห็นไดในหลัก
ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งมีองคประกอบ ๑๒ สวน เปนปจจัยแกกันหมุนเวียนไปเปนวงจร
จะพัฒนาศักยภาพของคนใหมีชีวิตแหงปญญา
ก็ตองรูจักธรรมชาติของชีวิตซึ่งจะทําหนาที่ศึกษา
ระบบการทํางานของชีวิตมนุษยพิเศษตางออกไปจากระบบการทํางานของรถยนต คือ แมรถยนต
จะเคลื่อนไหวได แตไมมีชีวิต ไมมีเจตจํานงหรือเจตนา จะเคลื่อนไหวไปทางไหน ตองมีคนมาขับขี่บังคับ
ลําพังตัวมัน องคประกอบทั้งหลายทั้งระบบทํางานเคลื่อนไหวอยูอยางนั้น ๆ เทาเดิม แตระบบการทํางาน
ของมนุษยไมอยูในวงจรเทาเดิม มนุษยมีเจตนจํานงหรือมีเจตนา มีคุณสมบัติพิเศษเชนปญญาเปนตน ทํา
ใหการเคลื่อนไหวของชีวิตมนุษยมีการปรับตัว ปรับปรุงพัฒนาระบบการทํางานของตัวมันเอง และจัดการ
กับสิ่งอื่นภายนอกไดดวย
การทํางานขององคประกอบทั้งหลายของชีวิตมนุษย มีลักษณะพิเศษเรียกงาย ๆ วา เปน
ระบบการเปนอยู หรือ การดําเนินชีวิต ซึ่งเราตองศึกษาใหเห็นองคประกอบเหลานั้นทํางานสัมพันธกัน
ในการที่มันจะเปนอยู เจริญงอกงาม พัฒนาไป และจัดการกับสิ่งอื่น ๆ ภายนอกใหไดผลดียิ่งขึ้น
ชีวิตมนุษย ที่เปนอยูหรือดําเนินไปทั้งระบบนี้ แยกองคประกอบได ๓ สวนใหญ คือ
๑. การเคลื่อนไหวติดตอสัมพันธกับโลกภายนอก โดยใช ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และการ
แสดงออกทางกายวาจา จะใชคาํ ภาษาสมัยใหมวา " พฤติกรรม " ก็มีความหมายแคบไป ขอแตงคําใหมวา
พฤติสัมพันธ
๒. เบื้องหลังการติดตอสัมพันธและพฤติกรรมที่แสดงออก มีกระบวนการทํางานของจิตใจ เริ่ม
ตั้งแตเจตจํานง (ความตั้งใจ) เพราะการติดตอสัมพันธและพฤติกรรมที่แสดงออกของมนุษยเกิดจากเจตนา
คือมีความตั้งใจ จงใจ และแรงจูงใจ เปนตัวกําหนดอีกชั้นหนึ่งวาจะตั้งใจอยางไร แรงจูงใจนี้มีทั้งฝายชั่ว
และดี เชน ความรัก ความโกรธ ความอยากรู ความลุม หลง ความเคารพ ความริษยา ความสุข ความทุกข
ใจ ซึ่งเปนตัวกําหนด หรือ ชักจูงความตั้งใจนั้น เชน เพราะอยากไดสุข จึงเคลื่อนไหว
ทําพฤติกรรมแบบนี้ เพราะอยากหนีทุกข จึงเคลื่อนไหวทําพฤติกรรมแบบนี้ โดยมีปจจัยขับเคลื่อนอยู
เบื้องหลัง คือกระบวนการของจิตใจ เปนดานที่ ๒ ในกระบวนการทํางานของชีวิต เรียกสั้น ๆ วา จิตใจ
๓. การเคลื่อนไหวติดตอสัมพันธทําพฤติกรรมนั้น คนตองมีความรู รูเทาไรก็ตั้งใจเคลื่อนไหว
ทําพฤติกรรมไดเทานั้น ถารูมากขึ้นการตั้งใจเคลื่อนไหวทําพฤติกรรมก็จะซับซอนและไดผลสําเร็จมาก
ยิ่งขึ้น ถาไมรูเลยความตั้งใจทําพฤติกรรมก็สงเดชเรื่อยเปอย ฉะนั้นความรูจึงเปนองคประกอบที่สําคัญ
มาก เปนแดนใหญดานหนึ่งของชีวิต ไดแก ปญญา ถาเราพัฒนาปญญา เราก็ขยายมิติและขอบเขตทั้ง
ดานจิตใจและพฤติกรรมออกไปทั้งหมด
พฤติกรรมมนุษยที่พัฒนาออกเปนกลุมเปนหมูรวม ๆ กัน เปนวัฒนธรรมและอารยธรรมนั้น เกิด
จากเจตจํานงตามอํานาจแรงจูงใจ เชนความปรารถนาทีจ่ ะเอาชนะธรรมชาติ ทําใหอารยธรรมตะวันตก
เจริญมาอยางที่เปนอยูในปจจุบันนี้ นี่คือเจตจํานงดานจิตใจ แตเจตจํานงนั้นเกิดขึ้นไดภายใตเงื่อนไขของ
ความรูความเขาใจอะไรอยางไร มีความเชื่อ ยึดถือ และคิดไปไดอยางนั้นแคนั้น แลวตั้งเจตจํานงตาง ๆ ที่
จะทําพฤติกรรมภายในขอบเขตเทานั้น เพราะฉะนั้น แดนปญญา คือ ความรู จึงยิง่ ใหญมาก
ลักษณะสําคัญของกระบวนการดําเนินชีวิตของมนุษย คือการพัฒนาศักยภาพการดําเนินชีวิต
ใหสามารถอยูรอดไดอยางดีงาม มีความสุขยิ่งขึ้น หรือ พัฒนาขึ้นไปสูความเปนสัตวที่ประเสริฐยิ่งขึ้น
จนถึงความเปนพุทธะ ในที่สุด
ตกลงวา ชีวิตของมนุษยที่เปนกระบวนการเคลื่อนไหวดําเนินไปทามกลางสิ่งแวดลอม แยกเปน ๓
ดาน คือ
๑. พฤติสัมพันธ๒. จิตใจ ๓. ปญญา
นี่คือการแยกองคประกอบของชีวิตแบบหนึ่งตามหลักพระพุทธศาสนา เรามักติดอยูแคการแยก แบบกาย
กับใจ ซึ่งเปนการแยกเพื่อความรูเขาใจ แตเอามาใชปฏิบัติไดนอย ถาเราจะนําพระพุทธศาสนามาใชใน
ระดับปฏิบัติการ ในการทํากิจกรรมตาง ๆ โดยเฉพาะการพัฒนามนุษยและสังคม ตองกาวมาถึงการแยกใน
ระดับกระบวนการดําเนินชีวิต คือแยกเปน ๓ ดาน หรือ ๓ แดน อยางนี้
ถึงตอนนี้เราไดครบแลว ในตัวอยางเรื่องรถยนตที่แยกแยะ ๒ ระดับคือ แยกตอนจอดอยูนิ่ง ๆ ให
เห็นวามีองคประกอบอะไรบาง และแยกตอนทํางานคือวิ่งแลนวา มันทํางานอยางไร แตในเรื่องชีวิตมนุษย
เราแยกสวน หรือ องคประกอบ ๓ ระดับ คือ
๑. แยกองคประกอบตามสภาพหรือในภาวะอยูนิ่งเฉย (เชนแยกเปน รูป+นาม, กาย+ใจ,
ขันธ ๕)
๒. แยกใหเห็นการทํางานของสวนตาง ๆ ในระบบวงจรความสัมพันธ
(เชน แยกแบบปฏิจจสมุปบาท )
๓. แยกใหเห็นระบบและกระบวนการดําเนินชีวิตที่ องคประกอบ ๓ ดานมารวมกันขับเคลื่อน
ชีวิตใหเปนอยูไดดียิ่งขึ้น ๆ ไปสูจุดหมายที่จะเปนชีวิตที่สมบูรณ (แยกเปน ๓ ดาน หรือ ๓ แดน คือ ดาน
สัมพันธภายนอก ดานจิตใจ และดานปญญา)
แกนธรรมเพื่อชีวิต
การดําเนินชีวิตทั้งสามดาน เปนปจจัยเกื้อหนุนกันในการศึกษา
เมื่อรูธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย และธรรมชาติของมนุษยแลว ก็เอาความรูในความจริงของ
ธรรมชาตินน้ั มาใชประโยชน
สาระของพระพุทธศาสนา คือการนําเอาความรูใ นธรรมชาติและกฎธรรมชาติมาใชประโยชน
สนองจุดหมายที่เราตองการ คือการพัฒนามนุษยจนสามารถเปนอยู โดยไมตองพึ่งพา อวิชชา
ตัณหา อุปาทาน
กระบวนการของชีวิตที่เคลื่อนไหว นั้นแยกเปน ๓ ดาน คือ พฤติสัมพันธ ที่เรียกโดยอนุโลม
วา พฤติกรรม จิตใจ และปญญา เราพัฒนาชีวิตทั้ง ๓ ดาน ใหทําอะไรตออะไรไดสําเร็จตาม
ตองการ จนมีชีวิตที่สมบูรณ ขอสําคัญที่สุดตองพัฒนาปญญาขึ้นไป เพราะในที่สุด
ทุกอยางจะอยูในขอบเขตของปญญา อยางที่วา รูเทาใด ทําไดเทานั้น
แตในทางกลับกัน คนจะพัฒนาปญญาไมได ถาไมมีการสื่อสัมพันธ การทําพฤติกรรม และ
การทํางานของจิตใจมาเกื้อหนุน
หลักการมีอยูวา องคประกอบทั้ง ๓ ดานแหง กระบวนการดําเนินชีวิตของมนุษย ตอง
พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แมวาจุดยอดจะอยูที่การพัฒนาปญญา แตปญญานัน้ จะเกิดขึน้ มาลอย ๆ
ไมได ตองอาศัยจิตใจ พรอมดวยพฤติกรรมการเคลื่อนไหวและการใชอินทรียสัมพันธ
ปญญาอาศัยพฤติสัมพันธ ( อินทรียสัมพันธ และพฤติกรรม ) เชน อยางงาย ๆ เราจะได
ความรู เราตองอาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กายของเรา สื่อความรูจากโลกภายนอกเขามา เราตอง
เคลื่อนไหว เดินไปหาขอมูล ใชมือหยิบ ฉวย คน แยก เลือก เก็บขอมูล ตองใชวาจาพูดสอบถาม
รูจักปรึกษา เริ่มตั้งแตรูจักตั้งคําถาม ถาถามไมเปน พูดกับเขาไมรูเรื่องวาถามอะไร หรือถามดวย
คําพูดไมดี เขาก็เกลียดเอา ไมรวมมือ ไมอยากตอบ เพราะฉะนั้นจึงตองพัฒนาพฤติกรรมใหรูจักพูด
รูจักตั้งคําถามใหชัดเจน รูจักพูดใหนาฟง ใชถอยคําสละสลวย พัฒนาพฤติกรรมใหสัมพันธกับเพื่อน
มนุษยอยางไดผลดี ใหเขามีไมตรีชื่นชม เต็มใจที่จะรวมมือ
ปญญาอาศัยจิตใจ เชน จิตใจตองเขมแข็งอดทน มีความเพียรพยายาม แนวแนมั่นคง มีสติ
มีสมาธิ ถาจิตใจเกียจคราน ทอถอย ไมสู พอเจอปญหาก็ถอย ความคิดไมกาว ปญญาก็ไมพัฒนา
แตถาใจสูเขมแข็ง เดินหนาตอไปก็สามารถพัฒนาปญญาได หรือถาไมมีสมาธิ ใจฟุงซาน คิดอะไร
สับสนไมชัดเจน ตองใหใจมีสมาธิดวยจึงจะเกื้อหนุนตอการพัฒนาของปญญา
จิตใจเปนฐานของพฤติกรรม อยางที่พูดแลววา การเคลื่อนไหวทําพฤติกรรมของคนเรา เกิด
จากความตั้งใจ มีเจตนา ซึ่งประกอบดวยแรงจูงใจและความตั้งใจที่ดี พฤติกรรมที่แสดงออกไปก็จะ
ดี
จิตใจก็ตองอาศัยพฤติกรรม เปนเครื่องมือสนองความตองการของจิตใจอยากไดโนนไดนี่
อยากเห็น อยากดู อยากฟง หรือเกลียดชัง อยากหนี อยากทําลาย อยากไปใหพนจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็
อาศัยพฤติกรรม ตองสําเร็จดวยพฤติกรรมทั้งนั้น ปญญาเปนตัวชี้นํา บอกทาง ใหแสงสวาง กํากับ
ควบคุม ดูแล จัดปรับ แกไข ขยายขอบเขต พัฒนา และทําหนาที่ปลดปลอยชวยใหเกิดอิสระภาพ ทั้ง
แกพฤติกรรม และแกจิตใจ
ปญญาชี้นําพฤติกรรม ควบคุม กํากับ ขยายขอบเขต และปลดปลอยพฤติกรรม อยางที่พูดไป
แลววา พฤติกรรมจะทําอะไรไดแคไหน ก็ไดแคเทาที่มีปญญารูเทาใด ถาไมรูเลย ก็ติดขัด ถารูเขาใจ
พฤติกรรมก็เดินหนาตอไป ยิ่งรูเขาใจมองเห็นกวางไกลลึกซึ้ง พฤติกรรมก็ยิ่งกวางขวาง ซับซอน และ
ทําไดผลมากขึ้น ๆ
ปญญาบอกทางแกจิตใจ รวมทั้งชี้นํา กํากับ จัดปรับ แกไข ขยายขอบเขต ตลอดจน
ปลดปลอยจิตใจใหเปนอิสระ เชน พอเจออะไร ถาไมรูเรื่อง ก็ติดขัดอัดอั้นตันทันที ทําอะไรไมถูก เกิด
ทุกขเปนปญหา แตพอปญญามา รูวาสิ่งนั้นคืออะไร เปนอยางไร จะปฏิบัติอยางไรเอามาใชทําอะไรได
ก็โลง โปรงสบายใจ หมดปญหา ไมบีบคั้นติดขัดคับของใจ เพราะฉะนั้น ปญญามา ก็ทําจิตใจใหเปน
อิสระ มีความสุขโลงโปรง แกปญหาได เรียกวาเปนตัวปลดปลอย คือ liberate จิตใจ
เพราะฉะนั้น ชีวิตทั้ง ๓ ดานของมนุษย คือ พฤติกรรม จิตใจ ปญญา จึงคืบเคลื่อนไป
ดวยกันเปนระบบแหงกระบวนการ ที่อาศัยซึ่งกันและกัน มนุษยจึงตองพัฒนาไปดวยกันพรอมทั้ง ๓
อยาง
บนฐานแหงหลักความสัมพันธของชีวิตสามดาน
ทรงตั้งหลักไตรสิกขาใหมนุษยพัฒนาอยางบูรณาการ
เมื่อรูเขาใจหลักความสัมพันธเปนปจจัยแกกันของชีวิต ๓ ดานแลว ก็นําหลักนั้นมาใชในการ
พัฒนาชีวิต เริ่มตั้งแต พัฒนาพฤติกรรม ใหดีขึ้น โดยฝกดวยความตั้งใจ และมีความเขาใจ ใหเกิด
พฤติกรรมที่ดีงาม เกื้อกูลขึ้นมาติดตัว หรือ ประจําตัว เรียกวา ศีล ในการฝกใหเกิดศีลเราจะใช "
วินัย " เปนตัวกําหนดรูปแบบ เวลานี้สับสนกันระหวางคําวา วินัย กับ ศีล บางครั้งใชเปนอัน
เดียวกัน หรือไมก็แยกหางกันไปคนละเรื่องเลย
ขออธิบายวา วินัย คือการจัดตั้งวางระบบระเบียบแบบแผน รวมทั้งตัวลายลักษณอักษรที่
เปนขอกําหนดวา เราจัดวางระเบียบแบบแผนกําหนดพฤติกรรมกันไวอยางไร สวนคุณสมบัติของคน
ที่ตั้งอยูในวินัยนั้นเรียกวา ศีล ก็แคนี้เอง
วินัยก็คือการจัดตั้ง วางระบบ กําหนดระเบียบแบบแผนในสังคมมนุษย ถาเราไมมรี ะบบ
ระเบียบแบบแผน พฤติกรรมของมนุษยวุนวายมาก เราจึงใชวินัยเปนตัวกําหนด หรือ จัดระบบ
พฤติกรรม เมื่อพฤติกรรมของคนเปนไปตามวินัยที่จัดตั้งวางกําหนดไว ก็เรียกวา ศีล วินัยนั้นอยูขาง
นอก เปนเครื่องมือฝกคนใหมีพฤติกรรมที่ถูกตองเหมาะสม เปนตัวหนังสือ เปนวาระแหงความเปน
ระเบียบ เปนระบบแบบแผนที่กําหนดการฝก ตลอดจนเปนการปกครอง คือ การจัดการดูแลควบคุม
คนใหปฏิบัติ หรือฝกตนตามระเบียบที่จัดตั้งไว เมื่อคนปฏิบัติตามวินัยจนกลายเปนคุณสมบัติในตัว
เขาแลว เราเรียกวา ศีล เพราะฉะนัน้ คําวา " มีวินัย " ที่ใชกันในสมัยนี้ ก็คือ " ศีล " นั่นเอง
การฝกพฤติกรรม และการติดตอสัมพันธกับโลกภายนอกของมนุษยใหเปนไปในทางที่ดีงา
เกื้อกูล จนเกิดเปนคุณสมบัติขึ้นในตัวของเขา เรียกสั้น ๆ วา " ศีล " คือ การมีพฤติกรรมและการสือ่
สัมพันธที่พึงปรารถนา เรียกเต็มวา " อธิศีล สิกขา " เปนอันวา ศีล คือกระบวนการฝกพฤติกรรม
และการติดตอสัมพันธของมนุษย กับสิ่งแวดลอมหรือโลกภายนอก
การพัฒนาดานจิตใจ มีคุณสมบัติมากมายที่พึงตองการ เชน เมตตา กรุณา ศรัทธา
กตัญูกตเวที ความเคารพ ความเพียร ความเขมแข็ง อดทน มีสติ มีสมาธิ ความราเริงเบิกบาน
ผองใส ความสุข ฯลฯ เรียกวา " อธิจิตตสิกขา " แตเรียกใหสั้นและงายโดยเอาคุณสมบัติแกนสําคัญ
มาเปนตัวแทน จึงเรียกการพัฒนาดานจิตทั้งหมดวา " สมาธิ "
ทําไมจึงวา "สมาธิ" เปนคุณสมบัติแกน เปนตัวแทน ที่ใชเรียกชื่อการพัฒนาดานจิตทั้งหมด
ตอบวา ในการพัฒนาจิตของคนนี้ มีคุณสมบัติสําคัญอยูอยางหนึ่ง ถาขาดไปเสีย คุณสมบัติอยางอื่น
ก็จะตองตั้งอยูไมไดและการพัฒนาดานจิตใจก็จะดําเนินไปไมได
เหมือนกับวาเรามีของมากมายจะจัดเก็บตั้งมันไว หรือเราจะทํางานกับมัน หรือจะใหของ
เหลานั้นเจริญงอกงามขึ้นไป หรืออะไรแลวแต มีสิ่งจําเปนอยางหนึ่ง คือฐานที่ตั้ง หรือที่รองรับที่มั่นคง
เชน จะวางของบนโตะ โตะก็ตองมั่น ถาโตะสั่นไหว ของอาจจะลมหรือหลนหายไปเลย หรือจะทํางาน
กับของเหลานั้น ก็ไมสะดวกหรือไมสําเร็จ แตถาโตะที่ตั้งที่วางหรือที่รองรับนั้นมั่นคงไมหวั่นไหว ของนั้น
ก็ตั้งอยู จัดทําอะไรกับมัน หรือจะใหเกิดการเคลื่อนไหวงอกงามเจริญขึ้น ก็ทําได
ในทางจิตใจก็เหมือนกัน คุณสมบัติที่เปนแกนในการพัฒนาจิตใจ คือภาวะที่จิตใจอยูตัวไดที่
ซึ่งชวยใหคุณสมบัติอื่น ๆ ตั้งอยูได เจริญงอกงามได ตลอดจนชวยใหปญญาทํางานไดดี คุณสมบัติ
ตัวแกนนี้เรียกวา สมาธิ แปลวา จิตตั้งมั่น จิตอยูกับสิ่งที่ตองการไดตามตองการ ถาจิตไมเปนสมาธิ
ไมอยูกับสิ่งที่ตองการ หรืออยูกับสิ่งที่ตองการไมได เชน อยูกับหนังสือ อยูกับงานไมไดเลยเดี๋ยวไป ๆ
สมาธินี่แหละเปนตัวแทนของกระบวนการพัฒนาจิต เพราะฉะนั้นจึงเอาคําวา สมาธิ มาเรียก
แทนการพัฒนาคุณสมบัติดานจิตทั้งหมด เรียกวาเปนวิธีเรียกแบบตัวแทน แตตัวแทนนี้เปนตัวแกน
ดวย
สวนการพัฒนาปญญา เรียกชื่อเต็มวา " อธิปญญาสิกขา " แตนิยมเรียกสั้น ๆ วา
" ปญญา " คือกระบวนการพัฒนาความรูค วามเขาใจ
เปนอันวา การพัฒนามนุษยอยูที่ ๓ ดาน หรือ ๓ แดน ซึ่งดําเนินไปดวยกันอยาง
เกื้อหนุนแกกันเปนระบบแหงบูรณาการ
การฝกฝนพัฒนามนุษย เริ่มตั้งแต การเรียนรูตาง ๆ นี้ ศัพทบาลีเรียกวา " สิกขา " ฉะนั้นการ
ฝก ๓ ดานที่พูดมาแลวจึงเปนสิกขา ๓ ดาน คําวา ๓ นั้น ภาษาบาลีคือ " ติ " ถาเปนสันสกฤต
ก็คือ " ไตร " ฉะนั้นจึงเปน ไตรสิกขา
ไตรสิกขาก็แยกเปน ศีล สมาธิ ปญญา คือกระบวนการพัฒนาพฤติกรรม พัฒนาจิตใจ
และพัฒนาปญญา เพื่อใหชีวิตมนุษยดําเนินไปสูความสมบูรณ คือภาวะที่เปนผูมีวิชาแลว มีชีวิต
เปนอยูดวยปญญา ไมตองมีชีวิตอยูโดยพึ่งพาอาศัย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และไมตกอยูใต
อํานาจครอบงําของมันอีกตอไป คือพน ทุกข โดยกําจัด สมุทัย ได บรรลุจุดหมาย คือ นิโรธ เพราะ
ปฏิบัติตาม มรรค ไดครบถวน จะเห็นวาอริยสัจสี่มาครบหมดเลยทีเดียว
แกนแทของพุทธธรรม คือความหลุดพนพึ่งตนได
ในสังคมของกัลยาณมิตร ผูมีชีวิตที่เกื้อกูลกัน
ขอจบดวยคําสรุปตามหัวขอที่ตั้งไวใหวา “ แกนแทของพระพุทธศาสนา ” นั้นมีอยูใน
พระสูตรหนึ่งชื่อวา มหาสาโรปมสูตร ซึ่งพระพุทธเจาไดตรัสเรื่องแกนของพระพุทธศาสนาไว มี
ใจความตามพระสูตรนีว้ า ชีวิตที่ประเสริฐ ( พรหมจริยะ ) คือตัวพระพุทธศาสนานี้ เปรียบไดกับ
ตนไม ซึ่งมีองคประกอบตาง ๆ คือ ลาภสักการะ เหมือนกิ่งใบ
ศีล เหมือนสะเก็ดไม
สมาธิ เหมือนเปลือกไม
ปญญา เหมือนกับกระพี้ไม
วิมตุ ติ ( ความหลุดพน ) เปนแกน
ตรงนี้แหละ มาถึงแกนแทของพระพุทธศาสนา คือ ความหลุดพนเปนอิสระ เขากับหลักที่พูดสุดทาย
วา
จะตองพัฒนาตนใหพึ่งตนเองได และเปนอิสระ จนกระทั่งในที่สุดเปนอิสระทางจิตใจและปญญา
เราพึ่งคนอื่น เชน พึ่งพระพุทธเจา ก็เพื่อทําตัวเราใหพึ่งตนเองได พระพุทธเจาชวยใหเราพึ่งตนเองได
นั่นเอง จุดหมายก็คือพึ่งตนเองไดเปนอิสระ เพราะฉะนั้นหลักพุทธศาสนาจึงมาถึง แกนแทที่สูงสุด คือ
วิมุตติ
ความหลุดพน เปนอิสระ แกนแทของพระพุทธศาสนา ก็จบลงตรงนี้เอง
ตอนแรกเปนอิสระทางพฤติกรรม ซึ่งหมายถึงพฤติกรรมที่เปนอิสระทางสังคม ทําอะไร ๆ พูด
อะไร ไดโดยไมถูกบังคับครอบงํา ขมเหง แตพรอมกันนั้นก็ตองเปนพฤติกรรมที่เกิดจากจิตใจที่เปน
อิสระจากกิเลส จึงจะเปนอิสระจากการเบียดเบียนกันแทจริง อิสรภาพที่แทจึงไมใชเปนพฤติกรรม แต
เปนภาวะทางจิตใจและปญญา และอิสรภาพที่สมบูรณคืออิสรภาพทางปญญา
ดานพฤติกรรมนั้น ทานไมสอนใหเปนอิสระแบบแยกตางหากจากกัน หรือตางคนตางอยู แต
พฤติกรรมนั้นทานมุงใหพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ใหเกื้อหนุนกันดวยวัตถุและเรี่ยวแรงกําลังเปนตน
โดยรูเทาทันวาวัตถุทรัพยสินภายนอก รวมทั้งลาภสักการะทั้งหลาย เราตองอาศัยแตมันเปนเพียง
ปจจัยเกื้อหนุน เหมือนเปนกิ่งใบ ไมใชเปนแตแกนสาร
ดานพฤติกรรมเกี่ยวกับชีวิตภายนอกนี้ ใหเราเปนที่พึ่งแกคนอื่นได พรอมกับเราตองพึ่งคนอื่น
ดวย ใหสังคมเปนสังคมประเภทพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เปนกัลยาณมิตรของกันและกัน โดยแตละ
คนก็มีอะไรใหคนอื่นไดพึ่งบาง ตางก็เกื้อหนุนกัน ใหสังคมอยูผาสุก และใหแตละคนมีโอกาสพัฒนา
ยิ่งขึ้นไปใน
ไตรสิกขา เพื่อใหแตละคนมีอิสรภาพที่พึ่งตนไดแทจริงทางจิตใจและทางปญญา อยางนี้จึงจะเปน
สังคมที่ดี
ขอใหดูวินัยของพระ คือชีวิตในสังฆะตามพุทธบัญญัติ จะเห็นชัดวาเปนอยางนี้ พระพุทธเจา
ทรง
จัดวางเปนแบบไว คือสังคมสงฆเปนสังคมตัวอยางแหงการที่แตละคนพยายามพัฒนาตนใหมีอิสรภาพ
ทาง
จิตใจและปญญา โดยที่ชีวิตทางดานพฤติกรรมนั้นพึ่งพาอาศัยเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เปนการเกื้อหนุน
กันใหกาวไป ไมใชชวยใหเขาไมตองทําแลวคอยรอรับความชวยเหลือ
***********************************