พฤษภาคม 2553
2. เขื่อนไซยะบุรีอาจเปนโครงการที่ไมจําเปน และมีประสิทธิภาพที่นาเคลือบแคลง
หลายปมานี้ แผนพัฒนาไฟฟาของประเทศไทย (Power Development Plan) ถูกวิพากษวิจารณวา
มักพยากรณความตองการการใชไฟฟาผิดพลาด ทําใหประเทศไทยมีปริมาณไฟฟาสํารองสูงเกินจริง และตอง
แบกภาระอันเกิดจากการลงทุนในโครงการที่ไมมีความไมจําเปน ปจจุบันประเทศไทยยังคงมีปริมาณไฟฟา
สํารองในสัดสวนที่สูงกวา 25% ดังนั้นจึงไมมีความจําเปนเรงดวนที่ กพช. ตองเรงรัดใหทําสัญญาซื้อขาย
ไฟฟาจากโครงการเขื่อนไซยะบุรี ที่อาจกลายเปนภาระที่ไมจําเปนของผูใชไฟฟาในประเทศไทย
นอกจากนั้น ประสิทธิภาพของเขื่อนไซยะบุรียังเปนประเด็นที่นาเคลือบแคลง เนื่องจากการศึกษา
ของโครงการเขื่อนปากชม และเขื่อนบานกุม ซึ่งเปนเขื่อนในลักษณะเดียวกัน พบวา กําลังการผลิตไฟฟาใน
ฤดูแลง ซึ่งเปนชวงที่มีความตองการการใชไฟฟาสูง แตเขื่อนเหลานี้กลับมีศักยภาพการผลิตไฟฟาที่พึ่งพิงได
เพียง 20% ของกําลังการผลิตติดตั้งเทานั้น และหากแมน้ําโขงตองเผชิญวิกฤตการภัยแลงดังที่เกิดขึ้นในปนี้
ประสิทธิภาพของเขื่อนไซยะบุรีก็อาจยิ่งถูกลดทอน ซึ่งอาจสงผลตอความมั่นคงของระบบไฟฟาไทยที่ตอง
พึ่งพาโครงการที่มีประสิทธิภาพต่ําเหลานี้
อนึ่ง ตามที่ปรากฏเปนขาววา ไดเกิดความตองการไฟฟาสูงสุด (Peak demand) หลายครั้งในชวง
เดือนที่ผานมา และคาดวาความตองการสูงสุดไฟฟาของป 2553 นาจะอยูที่ 24,009.09 เมกะวัตต ซึ่งเพิ่มขึ้น
จากปที่ผานมา 1,965 เมกะวัตต หรือรอยละ 8.9 ทําใหเกิดขอกังวลจากหนวยงานที่เกี่ยวของวา หากความ
ตองการไฟฟาสูงสุดเพิ่มขึ้นถึงปละเกือบ 2,000 เมกะวัตต จะทําใหระบบไฟฟาในระยะปานกลางและระยะยาว
ขาดความมั่นคงนั้น ขอเท็จจริงที่ควรพิจารณาก็คือ ความตองการไฟฟาสูงสุดที่เกิดขึ้นในป 2550 อยูที่
22,586.1 เมกะวัตต และนับแตนั้นมา ความตองการไฟฟาสูงสุดของไทยมิไดเปลี่ยนแปลงอยางมีนัยยะสําคัญ
เลยเปนระยะเวลา 3 ป ดังนั้น อัตราการเติบโตของความตองการไฟฟาเฉลี่ยนับตั้งแตป 2550-2553 คือ
474.33 เมกะวัตตตอป มิใช 1,965 เมกะวัตต ตอป
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
ขอแสดงความนับถืออยางสูง