จาง (ANEMIAS)
ศาสตราจารย์นายแพทย์ชัยโรจน์ แสงอุดม
เพื่อขมวดเรื่องให้เกิดความเข้าใจ เรื่องโลหิต
จางได้ดีย่ิงขึ้น เราควรจะต้องนึ กถึงเม็ดเลือดแดงที่ไหลเวีย น
อย่้ ใ นกระแสเลื อ ดและไขกระด้ ก ที่ ทำา หน้ า ที่ เ ป็ นอั น หนึ่ งอั น
เดียวกัน เราจึงรวมเรียกว่า "Erythron" ซึ่ง Erythron นี้
ประกอบด้ ว ย normoblast ที่ กำา ลั ง จำา แนกทุ ก ระยะ รวมทั้ ง
reticulocytes และ CSC (Committed stem cell) และเม็ด
เลื อ ดแดงแก่ ในกระแสเลื อ ด ในไขกระด้ ก Erythron มี
interstitial tissue เป็ น reticulum, fine capillaries และไข
มัน สำาหรับ
ใ น ก ร ะ แ ส เ ลื อ ด มี plasma เ ป็ น interstitial tissue ข อ ง
erythron โปรดทำา ความเข้ า ใจในบทบาท และหน้ า ที่ข อง
erythron ให้ดี และแจ่มแจ้ง
1. เมื่อสงสัยว่าผ้้ป่วยจะมีโลหิตจางหรือไม่
ในเรื่อ งนี้ ก็ จำา เป็ นต้ อ งตรวจหาปริม าณของเม็ ด เลื อ ดแดง ,
hemoglobin และการอั ดแน่ น ของเม็ ด เลื อ ดแดง (VPRC or
Hematocrit)และสิ่งอื่นๆ ที่จำาเป็ น และเปรียบเทียบกับค่าปกติ
มาตรฐาน
2. เมื่ อพบว่ า มี โ ลหิ ต จางแล้ ว ขั้ นต่ อ มาก็
ต้องค้นหาสาเหตุของโลหิตจาง
ถ้าร่างกายมีปริมาตรของเลือดลดลง เราเรียก
ว่ า "Oligemia" หรื อ "hypovolemia" ถ้ า ปริ ม าณ red cell
mass ลดลง เราเรียกว่า "Oligocythemia" ในภาวะคลินิกเรา
ใช้ คำา ว่ า Oligocythemia น้ อ ยกว่ า ประโยคที่ ว่ า "reduction
in red cell mass" โ ด ย ส่ ว น ใ ห ญ่ แ ล้ ว เ มื่ อ เ กิ ด มี
oligocythemia นั้ น blood volume มั ก จ ะ ค ง เ ดิ ม
เ พ ร า ะ ว่ า มี compensatory expansion ข อ ง plasma
volume ฉะนั้ น โดยหลั ก การแล้ ว เมื่ อเม็ ด เลื อ ดแดงลด
ปริมาณลง จะมีค่าใกล้เคียงมากกับการลดจำานวนเม็ดเลือดแดง
ทั้งหมดในกระแสเลื อด สำา หรับค่ าของ hemoglobin ก็เ ป็ น
ไปในทำานองเดียวกัน แต่อย่างไรก็ดีในทางปฏิบัติแล้วเราจะไม่
ตรวจหาปริมาณของ hemoglobin หรือเม็ดเลือดแดงทั้งหมด
(red cell mass) ของร่ างกาย เพราะมี วิ ธีการที่ ยุ่ ง ยาก ค่ าใช้
จ่ายส้งและเสียเวลามาก
การตรวจวินิจฉัยโลหิตจางเรื้ อรังในผ้ป
้ ่ วยทีป
่ ริมาณ
เม็ดเลือดแดงทั้งหมด (red cell mass) ลดลง แต่มี plasma
volume ลดลงร่วมด้วย ทำาให้ยากต่อการวินิจฉัย
ความแตกต่างระหว่างปริมาณของออกซิเจนในเลือด
แดงและเลือดดำา (a-v difference) จึง = 19 - 14 = 5 ซม.
3
เ ม็ ด เ ลื อ ด แ ด ง ที่ จ ะ นำา อ อ ก ซิ เ จ น มี น้ อ ย ไ ป จึ ง ต้ อ ง มี
compensation ซึ่งเกิดขึ้นได้ 2 วิธีคือ
1) Hemoglobin ปล่อยออกซิเจนให้เนื้ อเยื่อ
ได้ง่ายขึ้น นั ่ นคือ dissociation curve จะโย้ไปทางขวาใน
โลหิตจาง
2) หั ว ใจทำา งานเพิ่ ม ขึ้ น เกิ ด hyperkinetic
state เ พื่ อ เ ร่ ง ใ ห้ เ ม็ ด เ ลื อ ด แ ด ง ซึ่ ง มี จำา น ว น น้ อ ย จ ะ ต้ อ ง
หมุ น เวี ย นทำา งานให้ ถ่ี ข้ ึ น การเต้ น ของหั ว ใจจะเร็ ว ขึ้ น
Cardiac output แ ล ะ Stroke volume ส้ ง ขึ้ น ก า ร เ พิ่ ม
Cardiac output ไม่ ไ ด้ สั ด ส่ ว นกั บ ความรุ น แรงของโลหิ ต จาง
และอัตราความเร็วของชีพจรเสมอไป แต่ cardiac output จะ
ได้ สั ด ส่ ว นเกื อ บเป็ นเส้ น ตรงกั บ stroke volume การที่
cardiac output เ พิ่ ม ขึ้ น นั้ น เ กิ ด ขึ้ น เ พ ร า ะ peripheral
vascular resistance ลดน้อยลง ซึ่ง เกิ ดจากความเหนี ย ว
หนื ด (viscosity) ของเลือ ดลดน้ อ ยลง และหลอดเลื อ ดขยาย
ตั ว ด้ ว ย เมื่ อเพิ่ ม peripheral vascular resistance ในผ้้
ป่ วยโลหิตจางแล้วปรากฏว่า cardiac output ลดลงได้ การ
ที่ peripheral vascular resistance น้ อ ย ล ง จ ะ ทำา ใ ห้
diastolic pressure ลด ส่วน systolic pressure นั้ น ไม่มี
การเปลี่ยนแปลง Coefficient of oxygen utilization ในผ้้
ป่ วยโลหิตจางเพิ่มขึ้นเป็ น 30-40% ในรายที่เป็ นมาก มัก
จะมี อ าการของหั ว ใจล้ ม เหลว (heart failure) เกิ ด ขึ้ นด้ ว ย
ทั้ ง ๆ ที่ Cardiac output ยั ง ส้ ง อ ย่้ เ รี ย ก ว่ า high-output
failure เช่นเดียวกับผ้้ป่วยที่มี hyperkinetic state เพราะสา
เหตุอ่ ืนๆ เช่น hyperthyroidism และ arteriovenous fistula
เป็ นต้น ในผ้้ป่วยโลหิตจางจะมีค่า a-v difference ตำ่ากว่า
คนปกติ
2. General Symptomatology :
อาการในผ้้ ป่ วยที่ มี ร ะดั บ Hemoglobin
ตำ่าเท่ากันอาจแตกต่างกันได้มาก อาการหรืออาการแสดงที่เกิด
ขึ้นนั้ นขึ้นอย่้กับปั จจัยหลายอย่าง เช่น
ก. ความเร็ ว ของการเกิ ดโลหิ ตจาง เช่ น ถ้ า
เกิดเร็วอาการมาก
ข. ชนิ ดของโลหิ ตจาง เช่ น เม็ ดเลื อ ดแดง
แตก (hemolysis) ในเด็ ก ทำา ให้ มี kernicterus
ค. เกี่ยวกับสาเหตุ เช่น การขาดเหล็ก ทำาให้
มี อ าการเนื่ องจากขาดเหล็ ก ของเนื้ อเยื่ อ และเอนไซม์ ท่ี เ ข้ า
เ ห ล็ ก ก า ร ข า ด Vit. B12 ทำา ใ ห้ มี degeneration ข อ ง
ประสาท
ง. โรคและพยาธิสภาพร่วม เช่น การมีการติด
เชื้ อ การมีเลือดออก
เรื่องเฉพาะเหล่านี้ จะได้รบ
ั ทราบต่อไปในเรื่อง
นั้ นๆ โดยเฉพาะสำา หรับตอนนี้ จะได้ กล่ าวถึง เรื่องอาการทั ว่ ๆ
ไป ของระบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการที่มีโลหิตจาง
อาการทางระบบหายใจและการไหลเวี ย นของเลื อ ด :
ถ้าอาการซีดไม่มาก ขณะนั ่ งหรือนอนพักอาจไม่มีอาการ แต่
เมื่อคนไข้ต้องออกแรงจะมีอาการเหนื่ อยง่าย (fatigue) และใจ
เต้ น (palpitation) หายใจไม่ ส ะดวก (dysonea) ชี พ จรเร็ ว ,
pulse pressure กว้ า ง และอาจจะมี อ าการของ angina
pectoris แม้กระทัง่ เกิดอาการ หรืออาการแสดงของหั วใจล้ ม
เหลวก็ เ ป็ นได้ โดยที่ ไ ม่ มี ป รากฎโรคหั ว ใจอย่ า งอื่ นอย่้ เ ลย
อาจจะพบหัวใจโต ซึ่งเป็ นตามความรุนแรงของโลหิตจาง มักจะ
ได้ ยิ น เสี ย ง Systolic murmur ที่ ล้ ิ นหั ว ใจ mitral บ่ อ ยที่ สุ ด
และที่รองลงมาคือลิ้นหัวใจ pulmonary ในบางรายอาจจะพบ
cardiac thrill ได้ โดยไม่ มี ร อยโรค (lesion) ที่ ล้ ิ นหั ว ใจ
ฉะนั้ น การวินิจฉัยโรคหัวใจในผ้้ป่วยที่มีอาการโลหิตจางจึงต้อง
ใช้ความระมัดระวังเป็ นอย่างยิ่ง
อาการทางระบบประสาทและกล้ามเนื้ อ : มีอาการที่
สำา คั ญ คื อ อาการปวดศี ร ษะ, เวี ย น และมึ น งง (vertigo), มี
เสี ย งดั ง ในห้ (tinnitus), เป็ นลม (faintness), มี ค วามผิ ด
ปกติ เ กี่ ย วกั บ การเห็ น (scotoma), ขาดสมาธิ , มี อ าการง่ ว ง
ซึ ม (drowsiness) ทุ ร นทุ ร าย (restlessness) และกล้ า ม
เนื้ ออ่ อ นกำา ลั ง อาการเหล่ า นี้ จะพบได้ บ่ อ ยในผ้้ ป่ วยที่ มี
โลหิตจางรุนแรง อาการบางอย่างดังกล่าวเชื่อว่ามีสาเหตุจาก
สมองขาดออกซิเจน นอกจากนั้ นแล้ว ในโลหิตจางจะมีอาการ
แ ส ด ง ข อ ง papilledema แ ล ะ Retinal hemorrhage ไ ด้
ทั้งนี้ ย่อมขึ้นอย่ก
้ บ
ั สาเหตุของโลหิตจาง
อาการที่ น่ า จะได้ ก ล่ า วเพิ่ ม เติ ม คื อ อาการชา
(paresthesia) ห รื อ peripheral neuropathy ใ น
pernicious anemia
อาการทางระบบทางเดินอาหาร : ในผ้้
ป่ วยโลหิตจางนั้ นเราพบอาการทางระบบทางเดินอาหารได้บ่อย
เช่ น อาการของแผลเปปติ ค (Peptic ulcer) หรือ มะเร็ ง
กระเพาะอาหาร อาการอื่ นๆ อั น ได้ แก่ ลิ้ นอั กเสบ (glossitis)
และกลื น ลำา บาก (dysphagia) พบได้ บ่ อ ยในผ้้ ป่ วยที่ มี โ ลหิ ต
จางเนื่ องจากขาดเหล็ก สำา หรับใน Pernicious anemia มี
glossitis และ atrophy ของ papillae เสมอ ใน aplastic
anemia นั้ น มั ก จะพบแผลหรือ เนื้ อตายในปาก ซึ่ ง เจ็ บ ปวด
มาก อาการอย่างนี้ สะท้อนให้เห็นว่ามี neutropenia ในผ้้ป่วย
aplastic anemia
Classification of Anemia :
เหตุ โรค
ไขกระด้กผิดปกติ - Myelophthisis เ ช่ น
myelofibrosis, leukemia,
cancer metastasis
- Aplastic anemia
ขาดปั จจั ย ในการสร้ า งเม็ ด - ได้ แ ก่ deficiency anemia
เลือดแดง ต่างๆ เช่น iron,
Vit. B12, folic acid,
Vit.E
- Anemia in renal
diseases
ขาดตัวกระตุ้น และฮอร์โมน - Anemia in chronic
diseases
- Anemia in
hypopituitarism
- Anemia in
hypothyroidism
การทำาลายเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น : เม็ดเลือด
แดงอาจจะมีอายุน้อยกว่า 120 วัน ด้วย สาเหตุหลายอย่าง
ด้วยกัน แต่พอจะนึ กถึงอย่างกว้างๆ ว่า เพราะเหตุจากความผิด
ปกติ ภ ายในเม็ ด เลือดแดง (Intracorpuscular defects) และ
เหตุจ ากความผิด ปกติน อกเม็ด เลือ ดแดง (Extracorpuscular
defects)
เมื่อไขกระด้กมีสมรรถภาพปกติ และมีปัจจัยที่
จำา เป็ นในการสร้ างพอ ถ้ าอายุ เ ม็ ด เลื อ ดแดงยั ง ไม่ ส้ ั น ถึ ง 1/6
ของชี วิ ต ปกติ ก็ จ ะยั ง ไม่ เ กิ ด โลหิ ต จาง เพราะไขกระด้ ก
สามารถเพิ่มการสร้างขึ้นได้ 6-8 เท่าของภาวะปกติ
การเสี ย เลื อ ดออกไปจากร่ า งกาย : ในกรณี ท่ี เ สี ย เลื อ ด
อย่างทันทีทันใดเป็ นจำานวนมากร่างกายก็ยังสร้างทดแทนไม่ทัน
และถ้าเป็ นการเสียเลือดอย่างเรื้ อรัง ก็จะทำา ให้ร่างกายขาด
ปั จจัยที่จำาเป็ นในการสร้างโดยเฉพาะเหล็ก
ต่อไปจะได้กล่าวถึงวิธีการจำาแนกโลหิตจาง ซึ่งแพทย์จะ
ใช้ข้อม้ลที่ได้ เพื่อนำา ไปพิจารณาในการพิเคราะห์แยกโรค และ
ต่อเนื่ องไปถึงการรักษาต่อไป
1. Morphologic Classification
ในการจำา แนกโลหิ ต จาง โดยใช้ ข้ อ ม้ ล ทาง
กายภาพของเม็ดเลือดแดงนั้ น เป็ นผลที่ได้จากการตรวจเลือด
ทางห้ อ งปฏิ บั ติ ก าร ซึ่ ง มี ก ารพั ฒ นากั น มาโดยตลอด การ
จำา แนกโลหิ ต จางโดยวิ ธี น้ ี ได้ แ สดงให้ เ ห็ น ว่ า มี คุ ณ ค่ า และเป็ น
ประโยชน์ในทางคลินิกอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการ
พิเคราะห์แยกโรคในเรื่องโลหิตจาง
เราควรคำา นึ งเสมอว่าเมื่อเกิดโลหิตจางขึ้นนั้ น
การลดปริม าณของเม็ ด เลื อ ดแดง ปริม าณความเข้ ม ข้ น ของ
Hemoglobin และ PRCV หรือ Hematocrit ไม่ จำา เป็ นจะ
ต้ อ งได้ สั ด ส่ ว นกั น เสมอไป เมื่ อมี ก ารเปลี่ ย นแปลงของค่ า
เฉลี่ยของขนาดของเม็ ดเลือ ดแดง และค่าเฉลี่ย ของความเข้ ม
ข้นของ Hemoglobin ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้สัดส่วน
กั น ในการตรวจหาโลหิ ต จาง สิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ นนี้ เราจะเห็ น ได้ ว่ า
เ มื่ อ เ ร า ไ ด้ คำา น ว ณ ห า ดั ช นี ข อ ง เ ม็ ด เ ลื อ ด แ ด ง (red cell
indices) พร้อมกับข้อสนั บสนุ นจากการตรวจเม็ดเลือดแดงใน
เสมียร์เลือด ซึ่งได้เคยกล่าวไว้แล้วว่าเป็ นสิ่งที่สำาคัญมาก
สั ง เคราะห์
globin
3. ความพิ ก าร Pyridoxine-
ในการ response
สัง เคราะห์ p Anemia, etc.
orphyrin
และ
heme
4. ความพิ ก าร
อื่นๆ ที่
เกี่ ย วกั บ
iron
metaboli
sm
III. 82- >30 1. ก า ร เ สี ย Various disease
Normocyti 92 เลือดใหม่ๆ
c
2. ปริมาตรของ Pregnancy
พลาสม่า Overhydration
เ พิ่ ม ขึ้ น
มาก
3. Hemolytic Depends on
disease each cause
4. Hypoplastic Aplastic anemia,
marrow pure red
cell aplastic
5. ไขกระด้กถ้ก Leukemia,
แทรกซึม multiple
myeloma
myelofibrosis,
etc.
6. ความพิ ก าร Hypothyrodism,
ของต่อม adrenal
ไร้ทอ
่ insufficiency,
etc.
7. ภ า ว ะ ค ว า ม Depends on
พิการเรื้ อรัง each cause
8. โรคไต Renal disease
9. โรคตับ Cirrhosis
2. Kinetic Classification :
ดังได้กล่าวไว้แล้วว่า normocytic anemia ในการ
จำาแนกโดยวิธีทางกายภาพ มีสาเหตุต่างๆ นาๆ และสับสน จึง
ควรที่จะพิจารณาทางด้าน kinetic ของเม็ดเลือดแดงในแง่ของ
"การสร้าง (production) และการทำา ลาย (destruction)" แล้ว
จะช่วยในการวินิจฉัยตามสาเหตุ (etiologic diagnosis) ด้ร้ปที่
1.2
เม็ดเลือด
แดง
สร้าง ทำาลาย
วั น ล ะ 24,000 = 20 ml.
ร่างกาย
วันละ 24,000 = 20 ml.
120
120
อายุเม็ดเลือดแดง 1 เม็ด
120 วัน
รูปที่ 1.2 ไดอะแกรมแสดงดุลย์ ระหว่างการสร้างกับ
การทำา ลายในการรักษาให้เ ม็ ดเลือ ดแดงทั้ งร่ างกาย
คงที่
จำานวนของเม็ดเลือดแดงที่ปรากฎอย่้ในกระแสเลือดขณะ
ใ ด ข ณ ะ ห นึ่ ง นั้ น เ ป็ น ผ ล จ า ก ค ว า ม ส ม ดุ ล (dynamic
equilibrium) ระหว่างการสร้างเม็ดเลือดแดง และปล่อยเข้า
ส่้กระแสเลือด และการทำาลายของเม็ดเลือดแดงหรือการหายไป
จากกระแสเลือด ฉะนั้ นโดยหลัก
ใหญ่ๆ แล้ว โลหิตจางก็เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง หรือเกิด
ความผิดปกติเกี่ยวกับสร้าง หรือทำาลาย หรือทั้งสองอย่าง โดย
วิธีน้ ี เราสามารถจะเข้าใจเรื่องโลหิตจาง โดยใช้เกณฑ์เรื่องกลไก
การเกิ ด ของมั น ร่ ว มกั บ การวิ เ คราะห์ ผ ลการตรวจทางห้ อ ง
ปฏิบัติการจากตารางที่แสดง
ต า ม ป ก ติ ร่ า ง ก า ย จ ะ มี ก ล ไ ก ข อ ง ภ า ว ะ ค ง ที่
(homeostatic mechanism) ที่ จ ะให้ ห ายจากโลหิ ต จางด้ ว ย
การเร่ ง สร้ างเม็ ดเลื อ ดแดง คนที่ มีสุ ข ภาพสมบ้ ร ณ์ เ กิ ดมี โ ลหิ ต
จางอย่างเฉียบพลัน อาจจะด้วยการบริจาคเลือดหรือเสียเลือด
จากอุบัติเหตุหรือเป็ นโรค ถ้าเราตรวจด้จะพบว่า
มีการสร้างเม็ดเลือดแดงใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน และปล่อยออก
มาในกระแสเลื อ ด มี ผ ลทำา ให้ มี ภ าวะ reticulocytosis และ
ภาวะ reticulocytosis จะหายไป เมื่ อ normal red cell
mass กลั บ เป็ นปกติ ถ้ า โลหิ ต จางยั ง คงปรากฎอย่้ น่ า จะ
อธิบายได้ดังนี้ คือ
(1) Insufficient erythropoiesis คื อ ก า ร
สร้างเม็ดเลือดแดง อาจจะลดลงหรือไม่สร้างเลย
ใ น ก ร ณี ที่ ป ริ ม า ณ ข อ ง reticulocyte ป ก ติ
หรือตำ่ากว่าปกติย่อมแสดงว่า หรือเชื่อได้ว่าสมรรถภาพการสร้าง
เม็ดเลือดแดงเสียไป ซึ่งในเรื่องนี้ มีอย่้ 2 อย่าง ที่ต้องพิจารณา
1.Insufficient erythropoiesis : ก า ร ส ร้ า ง เ ม็ ด
เลือดแดงไม่เพียงพอนั้ น มักจะร่วมกับการขาดเซลล์ต้นกำาเนิ ด
ของสายเม็ ด เลื อ ดแดง เป็ นที่ ท ราบกั น แล้ ว ว่ า การสร้ า งเม็ ด
เลือด
แดงภายหลังคลอดในคนเรานั้ นเป็ นการสร้างในไขกระด้ก ถ้า
ในไขกระด้กไม่ปรากฎให้เห็นเซลล์ไขกระด้กหรือมีจำานวนน้อย
ลง และถ้ ก แทนที่ ด้ ว ยเซลล์ ไ ขมั น ก็ จ ะเกิ ด hypoplastic
หรือ aplastic anemia ถ้ า มี ก ารสร้ า งเม็ ด เลื อ ดแดงเพี ย ง
สายเดียวลดลง เราก็เรียกว่า "Pure red cell aplasia" หรือ
ในกรณี ท่ี ไ ขกระด้ ก ถ้ ก แทรกซึ ม (infiltration) หรือ ถ้ ก แทนที่
ด้ ว ย leukoblast, myeloma cell, myeloid tissue (CML),
lymphocyte (CLL, Lymphosarcoma), neoplastic cells,
granulomas (tuberculosis, histoplasmosis,
sarcoidosis), fibrous tissue (myelofibrosis) ก็ จ ะ มี
โลหิตจางร่วมด้วยเสมอ เชื่อว่าการแทรกซึมมีผลทำาให้การสร้าง
เม็ดเลือดแดงเสียไปเช่นเดียวกับกรณี ของไขกระด้กที่หดเหี่ยว
หรือฟุ บแฟบ (atrophy) แต่ เรื่องนี้ ยั งไม่มีการพิ ส้จน์ใ ห้เ ป็ นที่
ประจักษ์ นอกจากนั้ นแล้วยังพบว่าปริมาณของ reticulocyte
ลดตำ่าลงหรือปกติ เมื่อเซลล์ต้นกำาเนิ ดทุกรายในไขกระด้กเกิด
กระทบกระเทื อ นแล้ ว อาจจะทำา ให้ เ กิ ด pancytopenia ซึ่ ง มี
ความหมายว่าเม็ดเลือดทุกชนิ ดมีจำานวนลดลง
สิ่งสำาคัญที่จะช่วยการวินิจฉัยว่าไขกระด้กมีการ
แทรกซึม มีดังนี้ คือ
(1) พ บ normoblast แ ล ะ ตั ว อ่ อ น ข อ ง
granulocyte ในกระแสเลือด (leukoerythroblastosis)
(2) พ บ tear drop แ ล ะ odd-shaped
poikilocytes
(3) พ บ neutropenia ห รื อ
thrombocytopenia หรื อ platelet ร้ ป ร่ า งแปล กๆ ใ น
กระแสเลือด
Principle of Investigation :
ในการให้การวิเคราะห์ และการวินิจฉัยโลหิตจาง
นั้ นด้เผินๆ ก็คิดว่าง่ายไม่ใช่ปัญหาที่ยุ่งยากอะไรนั ก แต่ความ
จริง แล้ ว แพทย์ ที่ ส นใจทางโลหิ ต วิ ท ยา จะต้ อ งมี ค วามร้้ ท าง
อายุรศาสตร์เป็ นอย่างดี ทั้งนี้ เพราะว่าโลหิตจางเป็ นภาวะหรือ
อาการแสดงที่เกิดขึ้นโดยสาเหตุหรือโรคที่อาจจะอย่้ในลักษณะที่
แอบแฝงอย่้ เราจึ ง ต้ อ งมี ห ลั ก ในการที่ จะดำา เนิ น ค้ น หาสาเหตุ
หรือต้นเหตุ
1. การซักประวัติและการตรวจร่างกาย
สาเหตุของโลหิตจางนั้ น บางทีก็สลับซับ
ซ้ อ น บางที ก็ห ญ้ า ปากคอก บางที ก็ เ ส้ น ผมบั ง ภ้ เ ขา แพทย์
โดยทัว่ ไปน่าจะปฏิบัติในการค้นหาสาเหตุได้ การซักประวัติและ
การตรวจร่ า งกายจะต้ อ งกระทำา ด้ ว ยความระมั ด ระวั ง ละเอี ย ด
ถี่ถ้วน ทุกแง่ทุกมุม ไม่มีช่องโหว่ ด้วยความร้้และประสบการณ์
ที่ มีอ ย่้ เพื่อ ที่ จะให้ ได้ มาซึ่ ง ข้ อ ม้ ล ต่ างๆ ที่ จะนำา ไปส่้ ก ารตรวจ
ร่ างกาย และการตรวจทางห้ อ งปฏิ บั ติ การขั้ น ต้ น ที่ ง่ า ยๆ แล้ ว
ทำา การวิเคราะห์ปัญหาของผ้้ป่วยโลหิตจาง นำา ไปส่้การวินิจฉัย
ในขั้ นต้ น (provisional diagnosis) รวมทั้งการวิเ คราะห์แยก
โร ค (differential diagnosis) แล ะ กา ร วิ นิ จ ฉั ย ขั้ น สุ ด ท้ า ย
(final diagnosis) การซั ก ประวั ติ แ ละการตรวจร่ า งกายในผ้้
ป่ วย ที่สงสัยโลหิตจางนอกเหนื อจากที่แพทย์พึงจะปฏิบัติ โดย
ทัว่ ๆ ไปแล้ว ผ้้ป่วยโลหิตจางอาจจะต้อง ก า ร ก า ร ซั ก
ประวัติหรือการตรวจร่างกายที่พิเศษออกไปบ้าง ซึ่งใคร่ท่ีนำามา
พอเป็ นตัวอย่างให้เห็นถึงความสำาคัญ
ประวัติเกี่ยวกับครอบครัว ในบางกรณี มี
ความจำา เป็ นที่ จ ะต้ อ งนึ ก ถึ ง โรคทางพั น ธุ ก รรมโดยเฉพาะใน
ประเทศไทยเรา ก็ มี ปั ญ ห า เ รื่ อ ง thalassemia แ ล ะ
hemoglobinopathies อาจจะต้ อ งซั ก ประวั ติค รอบคลุ ม ไปถึ ง
ดีซ่าน เลือดออกง่าย หรือการตัดม้ามออก
ประวัติเกี่ยวกับอาหารการกินก็นับว่าเป็ นเรื่อง
สำา คั ญ เหมื อ นกั น โดยเฉพาะในเรื่อ งคุ ณ ค่ า และปริม าณของ
อาหารประจำา วัน อุปนิ สัยในการกิน อาหาร รวมทั้งวิธีการปรุง
อาหาร ถ้ า ทราบได้ ก็ จ ะดี ม าก เพราะสิ่ ง เหล่ า นี้ จะช่ ว ยการ
วิเคราะห์ได้ดีย่ิงขึ้น อย่างไรในประเทศไทยเราผ้้ท่ีไม่ใช้น้ ำาปลา
สำาหรับปรุงอาหารการกินก็ออกจะเป็ นเรื่องแปลก
ประวั ติ เ กี่ ย วกั บ ระบบทางเดิ น อาหาร มี อ าการปวด
แสบปวดร้อนที่ล้ ิน อาการกลืนลำาบาก เล็บนิ้ วมือเปราะ สิ่ง
เหล่ านี้ บ่ ง ถึ ง ว่ าน่ าจะเป็ นโลหิ ต จางที่ เ กิ ด จากการขาดเหล็ ก มี
การเปลี่ยนแปลงในการขับถ่ายอุจจาระ มีท้องผ้ก สลับกับท้อง
ร่วง ซึ่งเป็ นสิ่งบอกเหตุของเนื้ องอกในทางเดินอาหาร ประวัติ
เกี่ยวกับเลือดออกในทางเดินอาหาร เช่น จากแผลในกระเพาะ
อาหารหรือแผลมะเร็งในทางเดินอาหาร เลือดอาจจะออกมากใน
ท า ง เ ดิ น อ า ห า ร ส่ ว น ต้ น ทำา ใ ห้ มี อ า เ จี ย ร เ ป็ น เ ลื อ ด
(hematomesis) หรือเกิดถ่ายอุ จจาระเป็ นสี ดำา เป็ นมั น (tarry
stool) ซึ่ ง เราเรี ย กว่ า melena หรื อ อาจจะเสี ย เลื อ ดจาก
ริด สี ด วงทวารหนั กเป็ นเวลานานๆ ไม่ อ ยากบอกเพราะ
ธรรมชาติของความอาย
ประวัติการเสียเลือดในระบบอื่นๆ เช่น
การไอเป็ นเลื อ ด (hemoptysis), การถ่ า ยปั สสาวะเป็ นเลื อ ด
(hematuria) ในหญิ ง ก็ มี ค วามจำา เป็ นต้ อ งได้ ป ระวั ติ เ กี่ ย วกั บ
ประจำา เดื อ นว่ า มากน้ อ ย แค่ ไห น มี ถี่ ห่ าง แค่ ไห นอ ย่ า งไร
นอกจากประจำา เดือนที่ต้องซักประวัติแล้ว ประวัติการตั้งครรภ์
และการแท้งบุตร รวมทั้งการคลอดบุตร เรื่องการเสียเลือดนี้ ก็
จะเป็ นแนวทางหรือชี้บอกถึงการขาดเหล็กได้
Principle of Treatment :
ในการวางแผนการรักษาโลหิตจางก็คงเป็ นไปตาม
หลั ก การของการรักษาโรคอื่ นๆ คื อ ต้ อ งรัก ษาโดยขจั ด สาเหตุ
หรือต้นเหตุ แต่ก็เป็ นที่น่าสังเกตว่าการรักษาโลหิตจางนี้ มักจะ
ถ้กละเลยในหลักการดังกล่าว และมุ่งหน้าที่จะรักษาตามอาการ
เหมือนๆ กับโรคหลายโรคที่ยังไม่มีการรักษาที่ได้ผลโดยเฉพาะ
อย่ า งนี้ หมอเถื่ อนก็ ทำา ได้ ส บายๆ อย่ า งที่ ป รากฎให้ ย าครอบ
จั ก รวาลที่ จ ะให้ มี ก ารสร้ า งเม็ ด เลื อ ดแดงเพิ่ ม ขึ้ น ปะเหมาะ
เคราะห์ดีโลหิตจางค่อยยังชัว่ ทั้งผ้้ให้การ
รักษา และผ้้รบ
ั การรักษาก็สบายอกสบายใจ แต่ถ้าโลหิตจาง
นั้ นยังมีต้นเหตุคือโรคที่ยังแอบแฝงอย่้ เช่น มะเร็ง หรือแผล
ในกระเพาะอาหาร ซึ่งมีเลือดออกอย่้เรื่อยๆ อาการโลหิตจาง
ก็ จ ะกลั บ มาใหม่ ผ้้ ท่ี ร ับ กรรมคื อ ผ้้ ป่ วย โดยเหตุ ที่ ต้ อ งเสี ย
อะไรๆ หลายๆ อย่าง ที่ไม่ควรจะต้องเสีย พอสรุปได้ว่าการ
รั ก ษ า โ ล หิ ต จ า ง นั้ น น่ า จ ะ ง่ า ย ถ้ า เ ข้ า ใ จ ก า ร ก่ อ โ ร ค
(pathogenesis) และทำา การรักษาที่ต้นเหตุ การรักษาโดยการ
ให้ เ ลื อ ดหรื อ ถ่ า ยเลื อ ดนั้ นต้ อ งมี ข้ อ บ่ ง ชี้ และจำา เป็ นจริ ง ๆ
เท่านั้ น
REFERENCES
1. Wintrobe. Clinical Hematology, 8th edition, 1981.
2. โลหิตวิทยา. ประเวศ วะสี และคณะ. พิมพ์ครั้งที่ 2, โรง
พิมพ์อักษรสัมพันธ์ ถนนเฟื่ องนคร พระนคร, พ.ศ. 2513.