Anda di halaman 1dari 25

ทำควำมเข้ำใจแผนภู มไิ ซโครเมตริก

(Psychometric Chart)
ทำควำมเข้ำใจแผนภู มไิ ซโครเมตริก (Psychometric Chart)
อำจหำญ ณ นรงค ์
แผนกวิศวกรรมและซ่อมบำรุง
ั โยโกฮำม่ำ ไทร ์ แมนู แฟคเจอริง่ (ประเทศไทย) จำกัด
บริษท

แผนภูมไิ ซโครเมตริก (Psychometric Chart)


เป็ นแผนภูมท ่ี
ิ บอกถึ งรายละเอียดของอากาศทีสภาวะต่่ าง ๆ
่ าหลายท่านทีท
เชือว่ ่ างานในสายงานเครืองกล ่ เช่น
งานปร ับอากาศและความเย็นคงจะรู ้จักแผนภูมน ิ ี้

และการทีเราเข ้าใจแผนภูมน ้ าให ้เราเข ้าใจถึงธรรมชาติและกระบวนการการ
ิ ี จะท

เปลียนแปลงของสภาวะของอากาศตลอดจนสามารถน ามาใช ้งานและวิเคราะห ์แก ้ใขปัญห
า ในงานทีเกี่ ยวข
่ ่ น้
้องได ้มากยิงขึ

รู ปที่ 1 แผนภูมไิ ซโครเมตริก (Psychometric Chart)

1
ควำมสำคัญของอำกำศและกำรใช้งำน
่ าทุกคนคงจะรู ้จักอากาศ (Air) กันเป็ นอย่างดี อากาศมีอยูท
เชือว่ ่ ุก ๆ

ทีเราทุกคนใช ้อากาศในการหายใจ
อากาศเป็ นตัวช่วยในการติดไฟของเชือเพลิ ้ ่
งในการหุงต ้มหรือในเครืองยนต ์หรือ
เครืองจั่ กรต่าง ๆ ในงานด ้านวิศวกรรมและการผลิต
อากาศถูกนามาใช ้ประโยชน์ในกระบวนการต่าง ๆ มากมาย
ดังนั้นจึงเป็ นสิงจ ่ าเป็ นอย่างยิงที
่ ผู
่ ท้ เกี
่ี ยวข
่ ้ ้อง
้องกับงานด ้านนี จะต

มีความรู ้เกียวกั บคุณสมบัต ิ
รายละเอียดตลอดจนธรรมชาติของอากาศซึงถ ่ ้าเราจะอธิบายกันแบบลอย ๆ
นั้นก็ยากทีจะเข ่ ้าใจแผนภูมิ (Chart)
หนึ่ งทีจะน่ ามาอธิบายคุณสมบัตข ิ องอากาศได ้ดีก็คอื แผนภูมไิ ซโครเมตริก
(Psychometric Chart)

ซึงในแผนภู มด
ิ งั กล่าวจะรวบรวมความสัมพันธ ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ
ของอากาศให ้ง่ายต่อการเข ้าใจในรายละเอียด

คุณสมบัตส ิ ำคัญ ๆ ของอำกำศ


ในงานทางวิศวกรรม เช่น งานปร ับอากาศหรือทาความเย็นนั้นคุณสมบัตต ิ า่ ง ๆ
่ มี
ของอากาศเป็ นสิงที ่ ผลกับสิงที
่ เราต
่ ้องการควบคุม เช่น อุณหภูมิ
้ ่
ความชืนสัมพัทธ ์และอืน ๆ บทความต่อไปนี จะอธิ้ บายถึงคุณสมบัตต
ิ า่ ง ๆ

ของอากาศเพือให ่ ้าใจอย่างง่าย ๆ ดังนี คื
้เป็ นทีเข ้ อ

2
รู ปที่ 2 การควบคุมอุณหภูมแิ ละความชืนในห
้ ้องปร ับอากาศ

1. ควำมชืน ้ (Humidity)

เราอาจได ้ยินคาเหล่านี มาบ ้างแล ้ว เช่น อากาศชืน้ (Moist Air) หรืออากาศแห ้ง (Dry
Air) แต่บางทีเราอาจไม่เขา้ ใจว่าความหมายทีแท ่ ้จริงของคาเหล่านี ว่้ ามันคืออะไร
เรารู ้ว่าก่อนฝนตกอากาศจะร ้อนอบอ ้าวจนเรารู ้สึกอึดอัด
หรือในหน้าหนาวผิวหนังของเราจะแห ้งจนแตกหรือผ้าทีเราตากไว ่ ้จะแห ้งเร็วกว่า ปกติทง้ั ๆ
่ ณหภูมข
ทีอุ ิ องอากาศต่า

ทังหมดที ่ บยกมาเป็ นตัวอย่างเบืองต
หยิ ้ ้นนั้นเกียวกั
่ ้ งสิ
บความชืนทั ้ น้

ถ ้าจะพูดให ้เข ้าใจกันแบบง่าย ๆ ความชืน้ (Moisture) คือ


อ ัตรำส่วนของไอน้ ำทีปะปนอยู่ ใ่ นอำกำศต่อจำนวนอำกำศทีอ้ ่ ำงอิง
อากาศทีมี ่ ไอนาปะปนอยู
้ ม
่ ากเราเรียกว่าอากาศชืนหรื้ ออากาศเปี ยก

เช่นลมระบายความร ้อนทีออกมาจากคู ่
ลลิงทาวเวอร ์ (Cooling Townwer)

หรืออากาศก่อนทีฝนจะตกจะมี อต
ั ราส่วนของไอนาที ้ ผสมอยู
่ ใ่ นอากาศมากจึงทาให ้

เรารู ้สึกร ้อนอบอ ้าวและอึดอัดเพราะเมือปริ ้
มาณไอนาในอากาศมี มากจะส่งผลให ้

เหงือหรื อนาที้ ผิ
่ วหนังของเรานั้นระเหยตัวยากจึงทาให ้เรารู ้สึกร ้อนอบอ ้าว

่ าวมาแล ้วตังแต่
ดังทีกล่ ้ ข ้างต ้นว่าความชืนคื ้ อจานวนไอนาที ้ ปนอยู
่ ใ่ นอากาศ จากรูปที่ 3
ถ ้าเราเอาอากาศจานวนหนึ่ งมากาจัดความชืนออกให ้ ้หมดเราจะเรียกอากาศทีไม่ ่ มี
ไอนาเจื ้ อปนอยูว่ า่ “อากาศแห ้ง (Dry Air)” ดังรูปที่ 3ก จากนั้นถ ้าเราค่อย ๆ
ปล่อยไอนาข ้ ้าไปในอากาศดังกล่าวเรือย ่ ๆ ดังรูปที่ 3ข

เมืออากาศมี ้
ไอนาผสมอยู เ่ ราเรียกอากาศนั้นว่า “อากาศชืน” ้

ซึงหมายถึ งอากาศทีมี ่ ไอนาปะปนอยู
้ ่
ซึงก็่ เหมือนกับอากาศในบรรยากาศบนโลกของเรานั่นเอง
ในตอนแรกทีเราเริ ่ ่
มปล่ อยไอนาเข้ ้าไปผสมปะปนกับอากาศนั้นปริมาณไอนาในอากาศ ้
จะมีนอ้ ย อากาศจะสามารถรองร ับไอนาจ ้ านวนดังกล่าวไว ้ได ้
่ มาณไอนาเพิ
แต่เมือปริ ้ มไปถึ
่ งจุดหนึ่ งทีอากาศไม่
่ สามารถรองร ับปริมาณไอนา้
ดังกล่าวไว ้ได ้ ไอนาส่ ้ วนทีเกิ ่ นก็จะเริมกลั
่ ่ วกลายเป็ นหยดนา้ ซึงเราจะเรี
นตั ่ ยกว่า
่ ้ ่
“จุดอิมตัวของไอนาในอากาศ” หรือเรียกอากาศทีจุดนี ว่า “อากาศอิมตัว (Saturated้ ่
Air)” ซึงก็ ่ คอื สภาวะทีอากาศไม่่ สามารถทีจะดู ่ ดซ ับไอนาไว ้ ้ในตัวมันได ้อีกแล ้ว
ในแผนภูมไิ ซโครเมตริกเส ้นอากาศอิมตั ่ ว (Saturated Air Line)
คือเส ้นโค ้งทีอยู่ ท ่ างด ้านซ ้ายของแผนภูมไิ ซโครเมตริก ดังรูปที่ 4

1.1 อ ัตรำส่วนควำมชืน ้ (Humidity Ratio, )


่ ้
หรือเรียกอีกอย่างหนึ งว่าค่าความชืนจาเพาะ (Specific Humidity)

คืออัตราส่วนระหว่างมวลของไอนาในอากาศ (mv) กับมวลของอากาศแห ้ง(ma)
่ มาตรอากาศทีพิ
ทีปริ ่ จารณา ดังสมการที่ 1

3
เช่น สภาวะหนึ่ งมีไอนาอยู
้ ใ่ นอากาศ 8 กรัมต่อปริมาตรอากาศ 1 m3
โดยทีน ่ าหนั
้ ้
กของอากาศแห ้ง (ไม่รวมนาหนั กไอนา)้ ตรงจุดนั้นเท่ากับ 0.88 kg/m3
ดังนั้นอัตราส่วนความชืนที
้ สภาวะดั
่ งกล่าวจะเท่ากับ 1/0.88= 9.1 gvapour/ kgDry
Air

ในแผนภูมไิ ซโครเมตริกเส ้นอัตราส่วนความชืน้ (Humidity Ratio Line)



เป็ นเส ้นทีลากจากเส ้ มตั
้นไอนาอิ ่ ว (Saturated Vapor)
จากด ้านซ ้ายมือไปยังด ้านขวามือดังรูปที่ 4
โดยทีค่่ าอัตราส่วนความชืนด ้ ้านล่างจะน้อยเพราะอุณหภูมต ิ ่าส่วนทีอุ
่ ณหภูมิ
สูงอัตราส่วนความชืนก็้ จะเพิมสู่ งขึนตามไปด
้ ้วย
่ ตราส่วนความชืนที
ซึงอั ้ ปรากฏในแผนภู
่ มไิ ซโครเมตริกจะเป็ นอัตราส่วนมวลของไอ

นาในอากาศเป็ นกร ัมต่อมวลอากาศแห ้งเป็ นกิโลกร ัม (gvapor/kgDry Air)

4
รู ปที่ 3 แสดงลักษณะอากาศทีสภาวะต่
่ าง ๆ

รู ปที่ 4 แสดงเส ้นอัตราส่วนความชืน้ (Humidity Ratio Line)

้ มพัทธ ์ (Relative Humidity or RH, )


1.2 ความชืนสั

คือความสัมพันธ ์ระหว่างจานวนมวลของไอนาในอากาศต่ อจานวนมวลของไอนาอิ ้ มตั
่ ว
่ จารณา เพือความเข
ในสภาวะทีพิ ่ ้าใจให ้พิจารณารูปที่ 4 และรูปที่ 5 ในรูปที่ 5ก
5
่ ปริมาตร 1 m3บรรจุอากาศแห ้ง อุณหภูมอ
เป็ นถังทีมี ิ ากาศภายในถัง 20 เซลเซียส

ทีความดั ้
นบรรยากาศในถังไม่มไี อนาปะปนอยู ใ่ นอากาศดังนั้นถังใบนี จึ ้ งมีความ
้ มพัทธ ์เท่ากับ 0 เปอร ์เซ็นต ์ ต่อมาเราเปิ ดวาล ์วและค่อย ๆ
ชืนสั
ปล่อยไอนาเข ้ ้าไปในถังเรือย
่ ๆ ถึงตอนนี ในถั ้ ้
งก็จะมีไอนาผสมอยู ่
อากาศในถังก็จะเป็ นอากาศชืนดั ้ งรูปที่ 5ข และเมือเรายั
่ งคงปล่อยไอนาเข ้ ้าไปเรือย
่ ๆ
จนปริมาณไอนาที ้ ผสมอยู
่ ใ่ นอากาศมากจนอากาศไม่สามารถรองร ับปริมาณไอนาไว ้ ้ได ้
ไอนาส่้ วนเกินเหล่านั้นก็จะกลันตั่ วกลายเป็ นหยดนาอยู ้ ท ่ ก ่ี ้นถังดังรูป ที5ค

ปริมาณไอนาสู ้ งสุดทีอากาศจะร
่ ้ จะขึน้
ับไว ้ได ้นี ก็
อยูก ่ บ
ั อุณหภูมข ่
ิ องอากาศยิงอากาศมี อณ ุ หภูมส ้ อากาศสามารถ
ิ งู จานวนใอนาที ่
่ งตามไปด ้วย
อุ ้มไว ้ได ้ก็จะยิงสู

รู ปที่ 5 แสดงสภาวะต่าง ๆ ของไอนาในอากาศ


6
รู ปที่ 6 กราฟแสดงความสัมพันธ ์ระหว่างความชืนสั
้ มพัทธ ์กับปริมาณไอนาในอากาศ

ตำรำงที่ 1
้ อากาศสามารถร
ความสัมพันธ ์ระหว่างปริมาณไอนาที ่ ้ มพั
ับไว ้ได ้กับอุณหภูมแิ ละความชืนสั
ทธ ์

จากตารางที่ 1 แสดงปริมาณไอนาที ้ อากาศสามารถร


่ ่ ณหภูมต
ับไว ้ได ้ทีอุ ิ า่ ง ๆ เช่น
่ ณหภูมิ 20 เซลเซียส ความดันบรรยากาศ
ทีอุ
อากาศสามารถรองร ับไอนาไว ้ ้ได ้สูงสุดเป็ นจานวน 17.3 กรัมต่อปริมาตรอากาศ 1m3
่ ดนี เองคื
ซึงจุ ้ อจุดทีมี ่ ความชืนสั
้ มพัทธ ์เท่ากับ 100% (100% RH)
จากข ้างต ้นทาให ้เราเข ้าใจแล ้วว่าจุดทีความชื ่ ้ มพัทธ ์ 100%
นสั
คือจุดทีมี ่ ปริมาณไอนาในอากาศจ ้ านวนมากทีสุ ่ ดทีอากาศสามารถรองร
่ ับไว ้ได ้
ดังนั้นทีความชื
่ ้ มพัทธ ์ต่าง ณ
นสั
อุณหภูมท ่ี ามาพิจารณาก็คอื จะพิจารณาปริมาณไอนาในอากาศศที
ิ น ้ ่ 100%
ของอุณหภูมน ิ ั้น ๆ เปรียบเทียบกับปริมาณไอนาในอากาศที ้ ่ อยูจ่ ริง ณ อุณหภูมน
มี ิ ั้น ๆ
่ ณหภูมิ 20 เซลเซียส อากาศสามารถรองร ับไอนาไว
เช่นทีอุ ้ ้ได ้สูงสุด 17.3 กรัมvapor/
m3Dry Air ทีความชื ่ ้ มพัทธ ์ 50% ก็จะมีปริมาตรไอนาเป็
นสั ้ นครึงหนึ ่ ่ งคือ (17.3/2) =
8.65 กรัมvapor/m3Dry Air และทีความชื ่ ้ มพัทธ ์ 25%
นสั
7

ปริมาณไอนาในอากาศก็ จะมีอยู่ (17.3/4) = 4.325 กรัมvapor/ m3Dry Air

ซึงนอกจากนั ้นเราสามารถทีจะหาเปอร
่ ้ มพัทธ ์ในอากาศได ้จาก สมการ
์เซ็นต ์ความชืนสั

เส ้นแสดงความชืนสั ้ มพัทธ ์ในไซโครเมตริกชาร ์ทดังแสดงในรูปที่ 7


โดยเส ้นแรกทางขวามือสุดหรือเส ้นทีอยู ่ ด ้ มพัทธ ์ 100%
่ ้านนอกคือเส ้นความชืนสั
นั้นจะเป็ นเส ้นเดียวกับเส ้นอากาศอิมตั
่ ว (Saturated Air Line)

หรือจุดทีอากาศสามารถรองร ับปริมาณไอนาได้ ่ ณหภูมต
้สูงสุดทีอุ ิ า่ ง ๆ

ถัดมาจากเส ้นความชืนสั้ มพัทธ ์ 100% ค่าความชืนสั้ มพัทธ ์ก็จะลดต่าลงมาเรือย


่ ๆ
อากาศทีมี่ ปริมาณความชืนอยู
้ เ่ ท่า ๆ
่ ณหภูมล
กันแต่เมืออุ ่
ิ ดตาลงค่ ้ มพัทธ ์จะสูงขึนเรื
าความชืนสั ้ อย ่ ๆ ดังรูป

รู ปที่ 7 แสดงเส ้นความชืนสั


้ มพัทธ ์ (Relative Humidity Line)

8
2. ปริมำตรจำเพำะของอำกำศ (Specific Volume, )
ปริมาตร จาเพาะ คืออัตราส่วนระหว่างปริมาตร (Volume) ต่อมวล (Mass) ของอากาศ
มีหน่ วยเป็ นลูกบาศก ์เมตรต่อกิโลกรัม (m3/kg) ในระบบ SI

เป็ นทีทราบกั นดีวา่ อากาศมีคณ ุ สมบัตใิ นการขยายตัวตามอุณหภูมท ่ี
ิ ความดั นคง ที่
(Constant Pressure)
ในสภาวะความดันคงทีถ ่ ้าอุณหภูมต
ิ ่าอากาศจะมีปริมาตรจาเพาะน้อยหมายถึง

นาหนั กอากาศต่อหน่ วยปริมาตรจะมากในทางตรงกันข ้ามถ ้าอุณหภูมข ิ ออากาศสูงขึน้
อากาศจะขยายตัวออกทาให ้ปริมาตรจาเพาะของอากาศของอากาศมากขึน้ ซึงก็ ่ คอื นาห้
นักของอากาศต่อหน่ วยปริมาตรจะลดลงหรืออากาศเบาขึนนั ้ ่ นเอง


ตัวอย่างเช่นอากาศทีความดั นบรรยากาศอุณหภูมิ 15 ๐C ความชืนสั ้ มพัทธ ์ 60%
จะมีปริมาตรจาเพาะเท่ากับ 0.825 m3/kg (1.21 kg/m3) แต่ถ ้าอุณหภูมเิ ปลียนไปเป็ ่ น

25 ๐C ทีความชื ้ มพัทธ ์ 60% เท่าเดิม ปริมาตรจาเพาะของอากาศจะเท่ากับ 0.861
นสั
m3/kg (1.16kg/m3) จะเห็นว่าอุณหภูมเิ ปลียนไป ่ 10 ๐C

แต่ปริมาตรจาเพราะอากาศเปลียนไป 4.4%
ในการคานวณเราจะสามารถใช ้ค่าปริมาตรจาเพาะสาหรับหาอัตราการไหลเชิงปริมาตร
(G) หรืออัตราการไหลเชิงมวล (m) ของอากาศ
สาหร ับเส ้นแสดงปริมาตรจาเพาะทีอยู่ ใ่ นไซโครเมตริกชาร ์ตนั้นจะเป็ นเส ้นทะแย
่ ด
งจากซ ้ายไปขวา โดยเส ้นทีอยู ่ ้านล่างจะมีคา่ ปริมาตรจาเพาะน้อยและเพิมขึ ่ นเรื
้ อย ่ ๆ
่ ้านบนดังรูปที่ 7
ไปสูด

9
รู ปที่ 8 แสดงเส ้นปริมาตรจาเพาะ (Specific Volume)

3. อุณหภู ม ิ (Temperature)
่ พูดถึงอุณหภูมเิ ราจะนึ กถึงความร ้อนและความเย็นของอากาศ
เมือ
เรารู ้ว่าในห ้องปร ับอากาศจะมีความเย็นกว่ากลางแดดจ ้าในหน้าร ้อน
ในช่องแช่แข็งของตู ้เย็นจะเย็นกว่าในห ้องปร ับอากาศ
อุณหภูมน ่ งบอก
ิ อกจากจะเป็ นตัวบ่งบอกถึงความร ้อนหรือเย็นแล ้วยังเป็ นตัวทีบ่
ถึงระดับพลังงานทีมี ่ อยูใ่ นอากาศ
อากาศทีร่ ้อนย่อมจะมีพลังงานอยูใ่ นตัวเองมากกว่าอากาศทีเย็ ่ น อุณหภูมข ิ องอากาศแบ่ง
ออกเป็ นสองชนิ ดซึงมี ่ ความสัมพันธ ์กันอย่างแยกไม่ออก ซึงก็
่ คอื

3.1 อุณหภู มก ิ ระเปำะแห้ง (Dry Bulb Temperature, Tdb)


ิ วัี่ ดจากเทอร ์โมมิเตอร ์ธรรมดา เช่น
คืออุณหภูมท
10
เราอยากรู ้ว่าตอนนี อุ้ ณหภูมเิ ท่าไหร่เราก็อา่ นค่าจากเทอร ์โมมิเตอร ์ทีติ
่ ด อยูท ่ี
่ ฝาผนั ง
ค่าอุณหภูมด ิ งั กล่าวคืออุณหภูมก ิ ระเปาะแห ้ง ในแผนภูมไิ ซโครเมตริกจะเป็ นเส ้นตามแนว
้ ้ นอ้ ยไปหามากจากซ ้ายมือไปยังขวามือ ดังรูปที9
ตังอยูใ่ นแผนภูมโิ ดยค่าจะเรียง ตังแต่ ่

รู ปที่ 9 เส ้นอุณหภูมก
ิ ระเปาะแห ้งบนแผนภูมไิ ซโครเมตริก

3.2 อุณหภู มก ิ ระเปำะเปี ยก (Wet Bulb Temperature, Twb)



ก่อน ทีเราจะมาพู ่ ณหภูมก
ดกันต่อเรืองอุ ิ ระเปาะเปี ยกกัน

อยากให ้เรามารู ้จักกับคาว่ากระเปาะกันก่อน ซึงกระเปาะ (Bulb)
ก็คอื ส่วนปลายทีใช ่ ้ร ับอุณหภูมข ิ องเทอร ์โมมิเตอร ์แบบปรอททีเราใช่ ้แหย่ไปยัง
จุดทีต ่ ้องการวัด ในตอนแรกทีกล่ ่ าวถึงอุณหภูมก ่ คอื ในตอนทีท
ิ ระเปาะแห ้งซึงก็ ่ าการวัดนั้น
กระเปาะร ับอุณหภูมข ิ องเทอร ์โมมิเตอร ์จะต ้องแห ้งจึงทาให ้อุณหภูมท ิ วั่ี ดได ้
่ ร่ อบ ๆ เทอร ์โมมิเตอร ์ตัวนั้น ดังรูปด ้านบนของรูปที่ 10
จึงเป็ นอุณหภูมแิ วดล ้อมทีอยู

สาหร ับการวัดอุณหภูมก ิ ระเปาะเปี ยกนั้นในการวัดก็ใช ้


เทอร ์โมมิเตอร ์แบบเดียวกับทีวั่ ดแบบกระเปาะแห ้ง
ี่
แต่ทกระเปาะปลายเทอร ้
์โมมิเตอร ์จะเอาผ้าชุบนาพอชุ ม
่ ๆ
พันกระเปาะเอาไว ้และในตอนวัดก่อนทีจะอ่ ่ านก็จะต ้องทาให ้ปลายกระเปาะเปี ยกดัง

กล่าวเคลือนที ่ ้วยความเร็ว ๆ หนึ่ ง

โดยปกติในการวัดจะใช ้เชือกผูกและเหวียงตั ่ วเทอร ์โมมิเตอร ์กระเปาะเปี ยกดัง

กล่าวให ้เคลือนที ่ กพักนึ งแล ้วจึงอ่านค่าอุณหภูมิ
สั
่ นเช่นนี ก็
ทีเป็ ้ เพราะว่าถ ้าความชืนในอากาศขณะที
้ ่ าการวัดน้อยเวลาที่

11

เทอร ์โมมิเตอร ์กระเปาะเปี ยกเคลือนที
ผ่่ านอากาศก็จะทาให ้ความชืนที
้ อยู
่ ท
่ ่ี
้ งกล่าวระเหยได ้ง่ายเพราะความชืนในอากาศมี
ผ้าชุบนาดั ้ นอ้ ย

รู ปที่ 10 เทอร ์โมมิเตอร ์แบบกระเปาะแห ้งและแบบกระเปาะเปี ยก เมือรวมกั


่ นจะเรียก Sling
Phychrometer

ในกระบวนการการระเหยของความชืนของผ้ ้ ้ ติ
าชุบนาที ่ ดอยูท ่ี
่ ปลาย
เทอร ์โมมิเตอร ์แบบกระเปาะเปี ยกนั้นจะดูดความร ้อนรอบ ๆ
ตัวกระเปาะมาทาให ้ความชืนเปลี ้ ่
ยนสถานะจากของเหลวกลายเป็ นไอ
ดังนั้นจึงทาให ้อุณหภูมท ิ วั่ี ดได ้หรืออุณหภูมก
ิ ระเปาะเปี ยกจะต่ากว่าา อุณหภูมก
ิ ระเปาะแห ้ง

ในกรณี ทในอากาศมี
ี ความชืนอยูม ้ ่ าก
ความชืนที้ ผ้ ่ าทีหุ
่ ้มกระเปาะไว ้จะระเหยได ้ยากดังนั้นความร ้อนทีใช ่ ้ในการ
ระเหยตัวก็จะน้อยส่งผลให ้ค่าทีวั่ ดได ้จะไกล ้เคียงกับอุณหภูมก ิ ระเปาะแห ้ง

่ าวข ้างต ้นอุณหภูมก


ดังทีกล่ ิ ระเปาะเปี ยกจะเป็ นตัวบ่งชีถึ้ งปริมาณความชืน้
่ อยูใ่ นอากาศในจุดทีท
ทีมี ่ าการวัด

12

ถ ้าความชืนในอากาศน้ อยความแตกต่างของอุณหภูมก ิ ระเปาะแห ้งกับอุณหภูมิ
กระเปาะเปี ยกจะมาก

และถ ้าความชืนในอากาศมากความแตกต่ างของอุณหภูมท ิ วั่ี ดได ้จะน้อย
และอุณหภูมก ่ ้นอากาศอิมตั
ิ ระเปาะแห ้งกับกระเปาะเปี ยกจะเท่ากันทีเส ่ ว (Saturated
Temperature) หรือจุดทีความชื่ ้ มพัทธ ์เท่ากับ 100%
นสั
สาหร ับเส ้นอุณหภูมก ่ ใ่ นแผนภูมไิ ซโครเมตริกนั้นจะเป็ นดัง รูปที่ 11
ิ ระเปาะเปี ยกทีอยู
โดยจะเอียงทแยงจากซ ้ายไปขวาและค่าจะเพิมขึ ่ นจากน้
้ อยไปมากจากด ้านซ ้ายไปยัง
ด ้านขวา

รู ปที่ 11 เส ้นอุณหภูมก
ิ ระเปาะเปี ยกบนแผนภูมไิ ซโครเมตริก

3.3 อุณหภู มห ิ ยดน้ ำค้ำง (Dew Point Temperature) คือ


“อุณหภูมท ่ี
ิ ความชื ้
นในอากาศเริ ่ ่ วเป็ นหยดนาเมื
มกลั
นตั ้ ออากาศถู
่ กลด
อุณหภูมท ่ี
ิ ความดั นคงที”่
หรืออีกนัยยะหนึ่ งก็คอื อุณหภูมอ ิ่ วของไอนาเมื
ิ มตั ้ อเปรี
่ ยบเทียบกับความดัน ของไอนาดั ้ ง
สมการ Tdp = Tsat@pv ………….
(5)
โดยที่ Pv คือแรงดันย่อยของไอนาที ้ อุ
่ ณหภูมจิ ด ้ มตั
ุ ไอนาอิ ่ ว ณ อุณหภูมท ่ี ้างอิง,
ิ อ
kN/m2


เพือให ้เรานึ กภาพของอุณหภูมห ้ ้างออกให ้เรานึ กถึงหยดนาที
ิ ยดนาค ้ เกาะอยู
่ ่
้ น หรือหยดนาค
ด ้านข ้างของแก ้วนาเย็ ้ ้างทีเกาะอยู
่ ต ่ ามยอดหญ ้าในตอนเช ้าของฤดูร ้อน
ลักษณะดังกล่าวเกิดขึนได ้ ้ก็เนื่ องจากการทีอากาศที
่ ่ ความชืนสู
มี ้ งถูกลด อุณหภูมล ิ ง
ทาให ้ความสามารถในการรองร ับความชืนในอากาศที้ ่ ณหภูมต
อุ ิ ่าลดลง
13
ดังนั้นปริมาณความชืนในอากาศที
้ ่ นจากความสามารถในการรองร ับของอากาศที่
เกิ
อุณหภูมต ิ ่าลง จึงกลันตั
่ วกลายเป็ นหยดนา้

ตารางที่ 2
้ อากาศสามารถร
ความสัมพันธ ์ระหว่างปริมาณไอนาที ่ ับไว ้ได ้กับอุณหภูมค ้ มพัทธ ์
ิ วามชืนสั
และอุณหภูมห ้ ้าง
ิ ยดนาค

่ ้จากการคานวณอาจมีความคลาดเคลือนในบางค่
- ข ้อมูลในตารางเป็ นข ้อมูลทีได ่ า

ตัวอย่ำง (ดูตารางที่ 2 ประกอบ) ในฤดูร ้อนวันหนึ่ งอากาศมีอณ ุ หภูม3 ิ 5


C?ความชืนสั้ มพัทธ ์ 60% ในอากาศมีไอนาปะปนอยู
้ ่ ่ี 23.8 กรัม/อากาศ 1m3


เมือเวลาผ่ านกลางคืนไปจนถึงตอนเช ้าอุณหภูมล ิ ดลงเหลือ 20 เซลเซียส
่ อุ
ซึงที ่ ณหภูมน ้
ิ ี เราจะเห็ ่
นว่าอากาศสามารถทีจะรองร ับไอนาได ้ ้สูงสุด (RH100%) เพียง
17.3 กรัม/อากาศ 1m3 ดังนั้นไอนาจ ้ านวน (23.8-17.3) = 6.5กรัม/อากาศ 1m3
จะกลันตั่ วกลายเป็ นหยดนาเกาะอยู
้ ต
่ ามยอดหญ ้าหรือวัตถุทมี ่ี อณ ุ หภูมเิ ดียวกับ
อากาศบริเวณนั้น

จากหลักการนี เรายั งสามารถประยุกต ์ใช ้ในอุปกรณ์ลดความชืนหลายชนิ ้ ดในงาน
อุตสาหกรรม

อุณหภูมห ้ ้างของอากาศทีจุ่ ดต่าง ๆ สามารถหาได ้ในไซโครเมตริก


ิ ยดนาค
โดยลากเส ้นจากจุดนั้นขนานไปกับเส ้นปริมาตรจาเพาะไปทางขวามือไปชนกับเส ้น
่ ว
อากาศอิมตั

14
รู ปที่ 12 แสดงการหาจุดนาค
้ ้างทีสภาวะที
่ ก ่ าหนด

4. เส้นอำกำศอิมตั ่ ว (Saturation Line, Air saturation line)


่ ใ่ นแนวเดียวกันเส ้นความชืนสั
เป็ น เส ้นทีอยู ้ มพัทธ ์ด ้านนอกสุดซ ้ายมือในแผนภูมไิ ซ
โครเมตริกหรือเป็ นเส ้นปิ ดแผนภูมไิ ซโครเมตริกทางด ้านซ ้ายมือ จริง ๆ
แล ้วเส ้นอากาศอิมตั่ วก็คอื เส ้นความชืนสั ้ มพัทธ ์100%(100%RH) ดังในรูปที่ 6 และรูปที่
13 นั่นเอง ดังทีกล่่ าวมาแล ้วในหัวข ้อเรืองความชื
่ ้ มพัทธ ์ว่าจุดอากาศอิมตั
นสั ่ วก็คอื

จุดทีอากาศ ณ อุณหภูมน ิ ้ัน ๆ
สามารถรองร ับไอนาไว ้ ้ได ้มากทีสุ ่ ดสาหร ับจานวนไอนาที ้ อากาศสามารถร
่ ับไว ้ได ้
มากทีสุ ่ ดทีอุ
่ ณหภูมต ิ า่ ง ๆ นั้นดังแสดงในช่องความชืนสั ้ มพัทธ ์ 100 % (100%RH)
ในตารางที่ 1 และตารางที่ 2

5. เอลทำลปี ้ (Enthalpy)
ในทาง เทอร ์โมไดนามิกค่าเอลทาลปี ้ (Enthalpy)
่ นตัวบ่งบอกถึงระดับพลังงานของของไหลซึงรวมถึ
คือค่าทีเป็ ่ งอากาศด ้วย
่ ่ ่
ซึงเป็ นค่าพลังงานภายในของของไหลบวกกับพลังงานเนื องจากการเปลียนแปลงของ
ความดันและปริมาตร (PV) ของของไหลดังสมการ

สาหร ับค่าเอลทาลปี ้ เราสามารถเปิ ดได ้จากตารางไอนา้ อิมตั


่ วในตาราเทอร ์โมไดนามิกต่าง
15
ๆ ได ้ ความสัมพันธ ์ของคุณสมบัตท ้ั
ิ งสามอย่างข ้างต ้นมักจะรวมอยูใ่ นรูป u + pv
ดังนั้นเพือเป็
่ นความสะดวกในการคานวณเราจึงให ้คาจากัดความเรียกผลรวมของความ
สัมพันธ ์ของคุณสมบัตท ้ั
ิ งสามตั วว่าเอลทาลปี ้ (Enthalpy, h)
โดยทีถ ่ ้าเป็ นเอลทาลปี ้ ต่อหน่ วยมวลเราจะเรียกว่าเอลทาลปี ้จาเพาะมีหน่ วยเป็ น
พลังงานต่อมวลเช่น kJ/kg
สาหร ับของไหลทีความดั่ นบรรยากาศค่าเอลทาลปี ้ จะเปลียนแปลงไปตามอุ
่ ณหภูมโิ ดย
่ ้าอุณหภูมม
ทีถ ิ ากค่าเอลทาลปี ้ จะมากตามไปด ้วย เช่น
อากาศทีอุ ่ ณหภูมส ิ งู จะมีคา่ เอลทาลปี ้มากกว่าอากาศทีอุ ่ ณหภูมต
ิ ่า
เช่นถ ้าเราต ้องการทีจะลดอุ ่ ณหภูมอ ิ ากาศจากอุณหภูมิ 40 เซลเซียส

ทีความชื ้ มพัทธ ์หนึ่ งให ้เหลือ 20 เซลเซียส
นสั

ทีความชื ้ มพัทธ ์หนึ่ งเราก็เอาค่าเอลทาลปี ้ของจุดแรกไปลบเอลทาลปี ้ทีจุ่ ด
นสั
หลังเราก็สามารถคานวณภาระทางความร ้อนของกระบวนการลดอุณหภูมใิ นกระบวนการ
ดัง กล่าวได ้
การหาค่าเอลทาลปี ้ ของอากาศแห ้งและอากาศชืนสามารถค ้ านวณได ้จากสมการ

16
รู ปที่ 13 เส ้นแสดงค่าเอลทาลปี ้

เส ้นแสดงระดับค่าเอลทาลปี ้ ในแผนภูมไิ ซโครเมตริกนั้นจะ


อยูด ่ วดังรูปที่ 13
่ ้านซ ้ายมือหรือด ้านหน้าของเส ้นอากาศอิมตั
โดยทีค่ ่ าเอลทาลปี่ จะเพิมจากน้
่ อยไปหามากตามระดับของอุณหภูมข ิ องอากาศที่
่ นตามทิ
เพิมขึ ้ ่
ศทางของลูกศรทีแสดงในรู ป สาหร ับการหาค่าเอลทาลปี ้ทีจุ่ ดต่าง ๆ
ตามสภาวะอากาศหลังจากทีเราพลอตจุ่ ดในไซโครเมตริกชาร ์ทได ้แล ้วเราก็ลากเส ้น
ตรงในแนวระนาบมาตัดกับเส ้นอากาศอิมตั ่ วทางซ ้ายมือและเอาค่าทีจุ่ ดตัดนั้นมา
ดูวา่ ตรงกับค่าเอลทาลปี ้เท่าได

6.

กำรศึกษำกระบวนกำรเปลียนแปลงสภำวะของอำกำศโดยใช้ แผนภู มไิ ซโครเม
ตริก

ใน กระบวนการเปลียนแปลงสภาวะของอากาศแผนภู ่ อทีจะ
มไิ ซโครเมตริกจะเป็ นเครืองมื ่
่ านั้นและสามารถนามาคิดคานวณหาพลังงานและทา
ช่วยให ้เรามองการเปลียนแปลงเหล่
ให ้เรารู ้ค่าตัวแปลต่าง ๆ
่ ยนแปลงโดยไม่
ทีเปลี ่ ่
ต ้องใช ้สูตรในการคานวณให ้ยุง่ ยากโดยทีกระบวนการ

เปลียนแปลงต่ ่ ดขึนเราสามารถพิ
างๆทีเกิ ้ จารณาด ้วยไซโครเมตริกชาร ์ทได ้ดังนี ้


6.1 กระบวนกำรเพิมและลดควำมร ้อน (Heating and Cooling Process)

6.1.1 กระบวนกำรเพิมควำมร ่ ้อน (Heating Process)


่ ่
คือกระบวนการทีในระหว่างกระบวนการหรือจากการเปลียนแปลงจากสภาวะหนึ ่ งไป
ยังอีกสภาวะหนึ่ ง ความร ้อนของอากาศจะค่อย ๆ เพิมขึ ่ นที
้ สภาวะความดั
่ นคงที่

ตัวอย่างเมือเราให ่
้ความร ้อนกับอากาศทีความดั นคงที่
อุณหภูมข ิ องอากาศจะเพิมขึ ่ นและส่
้ งผลให ้ปริมาตรจาเพาะของอากาศเพิมขึ ่ นหรื
้ อ

อากาศมีนาหนั ้
กเบาขึนเพราะอากาศเกิ ดการขยายตัว ในขณะทีไอน ่ าในอากาศมี
้ เท่าเดิม
และค่าความชืนสั้ มพัทธ ์จะลดลงเพราะอากาศสามารถรองร ับไอนาที ้ ปะปนอยู
่ ไ่ ด ้
่ นดั
เพิมขึ ้ งรูปที่ 14
สาหร ับกระบวนการนี ส่ ้ วนใหญ่ก็จะเป็ นกระบวนการอบเพือลดความชื
่ ้ บวัสดุหรือ
นกั
ผืชผลทางการเกษตรต่าง ๆ
่ ดขึนในกระบวนการนี
สาหร ับความร ้อนทีเกิ ้ ้
จะเป็ นความร ้อนสัมผัส (Sensible Heat)
่ าให ้อุณหภูมเิ พิมสู
หรือความร ้อนทีท ่ งขึนเป็
้ นส่วนใหญ่
ในส่วนของกระบวนการให ้ความร ้อน (Heating)
ในไซโครเมตริกชาร ์ตนั้นจะเป็ นเส ้นในแนวขนานกับแกนอุณหภูมก ิ ระเปาะแห ้ง (Tdb)
ในทิศทางห่างออกไปจากเส ้นอากาศอิมตั ่ วดังรูปที่ 14

17
6.1.2 กระบวนกำรลดควำมร ้อน (Cooling Process)

คือกระบวนการทีในระหว่ างกระบวนการนั้นอุณหภูมข ่
ิ องอากาศจะลดลงทีความดันคง

ที เช่น ในระบบการปร ับอากาศ

เมือเราเริ ่ ้นเปิ ดเครืองปร
มต ่ ับอากาศก็จะทาให ้อุณหภูมใิ นห ้องปร ับอากาศค่อย ๆ

ลดลงทีความดั นคงที่
และผลจากกระบวนการนี ก็ ้ จะทาให ้ปริมาตรจาเพาะของอากาศจะลดลง
หรืออากาศมีความหนาแน่ นขึนและจะท ้ ้ มพัทธ ์ในอากาศมากขึนตามไป
าให ้ความชืนสั ้
ด ้วย

รู ปที่ 14 แสดงทิศทางของการลดและเพิมอุ
่ ณหภูมิ

ดังนั้นในกระบวนการปร ับอากาศของพืนที ้ ปร
่ ับอากาศ
จึงจะต ้องมีกระบวนการลดความชืนตามมาด้ ่
้วย ซึงจะกล่ าวถึงในตอนหลัง

เมือเราพิ จารณาในแผนภูมไิ ซโครเมตริกเราจะเห็นว่ากระบวนการลดความร ้อนของ
้ ทศ
อากาศนี จะมี ิ ทางของอุณหภูมต ิ รงกันข ้ามกับกระบวนการเพิมความร่ ้อนของอากาศ

โดยทีกระบวนการที ่ ดขึนนั
เกิ ้ ้นจะเริมจากสภาวะเริ
่ มต ่ ้นของกระบวนการมาในทิศ
ทางของทางเส ้นอากาศอิมตั ่ วโดยทีเส ่ ้นของกระบวนการจะขนานกับเส ้นอุณหภูมิ
กระเปาะแห ้งดังรูปที่ 14
ในส่วนของความร ้อนทีเกิ ่ ดขึนส่
้ วนใหญ่ก็เป็ นความร ้อนสัมผัสเช่นกัน

6.2 กระบวนกำรลดควำมชืน ้ (Dehumiditification Process)


ได ้ มีการกล่าวถึงคุณสมบัตต ิ า่ ง ๆ ของความชืนตั ้ งแต่
้ ตอนแรก ๆ ของบทความนี แล ้ ้ว

เป็ นทีทราบกั ่
นดีแล ้วว่าทีสภาวะความดั นคงทีถ ่ ้าอุณหภูมล
ิ ดลงความชืน้ สัมพัทธ ์จะเพิมขึ
่ น้
ดังนั้นในการควบคุมสภาวะอากาศให ้มีคา่ ความชืนสั ้ มพัทธ ์น้อยทีอุ
่ ณหภูมต
ิ ่า
นั้นเราสามารถทีจะท
่ าได ้โดยวิธก ้ อ
ี ารดังนี คื

18
รู ปที่ 15 แสดงการลดความชืนโดยการลดอุ
้ ณหภูมขิ องอากาศ รูปที่ 16
แสดงวงจรลดความชืน้ (Air Dryer) ของเครืองอั
่ ดอากาศ


6.2.1 กำรลดควำมชืนโดยกำรลดอุ
ณหภู ม ิ (Dehumiditification by
Cooling)

คือ การลดอุณหภูมข ิ องอากาศ ณ จุดทีเป็ ่ นจุดลดความชืนให ้ ้ ้าง


้ลดลงจนถึงจุดนาค
(Tdp) ของอากาศ

ตัวอย่างทีเราสามารถเห็ นได ้ก็คอื ในห ้องทีติ ่ ดเครืองปร
่ ับอากาศขนาดเล็ก
เราจะเห็นว่าทีด ่ ้านล่างของคอยล ์เย็นของเครืองปร ่ ับอากาศจะมีถาดรองนา้
รองอยูซ ่ึ นทีรองไอน
่ งเป็ ่ ้ ควบแน่
าที ่ นจากการกลันตั ่ วนั่นเอง
โดยหลักการทางานง่ายก็คอื สมมติในห ้องปร ับอากาศทีอุ ่ ณหภูมิ 25 เซลเซียส
ความชืนสั ้ มพัทธ ์ 50%
ดังนั้นอุณหภูมห ิ ยดนาค ้ ้างของอากาศทีสภาวะดั ่ งกล่าวจะอยูท ่ี
่ ประมาณ 13.8 เซลเซียส
่ ่
และทีคอล ์ยเย็นของเครืองปร ับอากาศจะมีอณ ุ หภูมป ิ ระมาณ 7 เซลเซียส
ดังนั้นเมืออากาศถู
่ กดูดเข ้าใกล ้คอล ์ยเพือลดอุ ่ ณหภูมข ิ องอากาศดังกล่าวและ
่ จุ่ ดดังกล่าวมีอณ
เมือที ุ หภูมต ิ ่ากว่าจุดนาค
้ ้างของอากาศจึงทาให ้ความชืนใน ้
อากาศเกิดการกลันตั ่ วกลายเป็ นนา้ ทาให ้ปริมาณความชืนในอากาศลดลง ้
สาหร ับเส ้นการลดความชืนด ้ ้วยการลดอุณหภูมน ิ ้ันจะแสดงดังรูปที่ 15
อีกตัวอย่างหนึ่ งก็คอื การลดปริมาณนาในลมอั ้ ดของเครืองอั ่ ดลม (Air Compressor)
ดังวงจรในรูปที่ 16

6.2.2 กำรลดควำมชืนโดยวิ ้ ธก ี ำรดู ดซึมควำมชืน ้ (Dehumiditification by


Absorption)

การ ลดความชืนแบบนี ้ นการใช ้วัสดุดด
เป็ ู ซึมความชืน้ (Absorption Material) เช่น
ซิลก ้
ิ ้าเจล เป็ นตัวลดความชืนออกจากอากาศ
19
การลดความชืนวิ ้ ธน ้ งไม่จาเป็ นต ้องลดอุณหภูมด
ี ี จึ ิ งั แสดงในรูปที่ 17

เมือเราน าวัสดุดด ้
ู ความชืนมาวาง
วัสดุดด ้ จะดูดไอนาหรื
ู ความชืนก็ ้ อความชืนในอากาศออกจากอากาศในระบบนั
้ ้น

เป็ นผลให ้ความชืนในอากาศลดลงโดยที ่ ณหภูมข
อุ ิ องอากาศคงที่

รู ปที่ 17 การลดความชืนโดยใช
้ ู ความชืน้
้วัสดุดด

6.3 กระบวนกำรเพิมควำมชื่ ้ (Humidity Process)



ี่
ใน กรณี ทสภาวะอากาศรอบ ๆ
ระบบนั้นมีความชืนน้ ้ อยแต่เราต ้องการให ้มีความชืนมากภายในระบบ
้ เช่น
ในระบบปร ับอากาศในเมืองหนาวทีใช ่ ้ฮีทเตอร ์เป็ นตัวเพิมอุ
่ ณหภูมข ิ องอากาศแต่

ความชืนของระบบยั งไม่ได ้ตามทีต่ ้องการ
ดังนั้นจึงต ้องมีกระบวนการเพิมความชื
่ ้
นให ้กับระบบซึงวิ่ ธก
ี ารส่วนใหญ่ทท ่ี า กันคือ

20
6.3.1 กำรกำรเพิมควำมชื ่ ้
นโดยกำรเติ มไอน้ ำเข้ำสู ร ่ ะบบ (Humidification by
Steam)
เมือ่ เราเติมไอนาเข้ ้าไปปะปนในอากาศ
ไอนาก็ ้ จะเจือปนอยูก ่ บั อากาศในระบบทาให ้ภายในระบบดังกล่าวมีความชืนมากขึ ้ น้
ตามทีต ่ ้องการ สาหร ับในแผนภูมไิ ซโครเมตริกชาร ์ตนั้นจะแสดงดังรูปที่

18 โดยทีกระบวนการจะเริ ่ อุ
มที ่ ณหภูมเิ ริมต
่ ้นและเมือไอน
่ ้ อย ๆ
าค่
เข ้าไปในระบบแล ้วความชืนในระบบจะค่้ อย ๆ

เพิมโดยที ่ ณหภูมก
อุ ิ ระเปาะแห ้งยังคงทีส่ ่ วนตัวแปรทีเปลี ่ ยนไปคื
่ อค่าความ
้ มพัทธ ์และอุณหภูมก
ชืนสั ิ ระเปาะเปี ยกดังรูป
เราจะสังเกตได ้ว่าเมือเราเพิ่ ่
มความชื ้ ้าไปในระบบเรือย
นเข ่ ๆ
ค่าตัวแปรหนึ่ งทีเปลี
่ ยนตามคื ่ อค่าอัตราส่วนความชืนที ้ เป็
่ นเช่นนี ก็
้ เพราะ
ว่ามวลของไอนาที ้ เราเติ
่ มเข ้าไปนั้นมากขึนนั ้ ่ นเอง

รู ปที่ 18 การเพิมความชื
่ ้
นโดยเติ ้ ้าสูร่ ะบบ
มไอนาเข


6.3.2 กำรเพิมควำมชื ้
นโดยกำรท ำให้อำกำศเย็นโดยกำรระเหย
(Humidification by Evaporative Cooling)

คือ การเพิมความชื ้
นในขณะที ท่ าการลดอุณหภูมไิ ปในเวลาเดียวกันตัวอย่างของกระบวน
้ ้เรานึ กถึงพัดลมแบบทีมี
การนี ให ่ ชอ่ งใส่นาแข็
้ งอยูท ี่ ้านหน้าของใบพัดดัง รูปที่ 19
่ ด

สมมติวา่ เราเอาพัดลมตัวนี ไปวางไว ้ในห ้อง
่ ดลมเริมท
เมือพั ่ างานพัดลมก็จะเป่ าทาให ้นาแข็ ้ งระเหยกลายเป็ นไอเย็นออกมาทา
ให ้อุณหภูมริ อบ ๆ พัดลมนั้นค่อย ๆ เย็นลง
แต่ขณะเดียวกันนั้นปริมาณไอนาที ้ เกิ
่ ดจากการระเหยก็จะค่อย ๆ
มากขึนท ้ าให ้ความชืนสั้ มพัทธ ์ในอากาศค่อย ๆ มากขึน้ ๆ ไปด ้วย
สาหรับกระบวนการในแผนภูมไิ ซโครเมตริกจะเป็ นไปและมีทศ ิ ทางดังรูปที่ 20

21
รู ปที่ 19 พัดลมแบบเติมนาแข็
้ ง

รู ปที่ 20 การเพิมความชื
่ ้
นแบบทาให ้อากาศเย็นโดยการระเหย

่ าวในเรืองของกระบวนการต่
จากทีกล่ ่ าง ๆ
่ ่
ของการเปลียนแปลงของอากาศทีกล่าวมาในข ้างต ้นพอจะสรุปกระบวนการต่าง ๆ
ในรูปของแผนภูมไิ ซโครเมตริกได ้ดังรูปที่ 20 ในการพิจารณาทิศทางของกระบวนการต่าง
ๆ นั้น ให ้เราพลอตทีจุ่ ดแรกของสภาวะอากาศลงในแผนภูมไิ ซโครเมตริก
จากนั้นเราก็พลอตค่าสภาวะอากาศจุดทีสองลงในแผนภู
่ มไิ ซโครเมตริก

เมือเราได ้
้จุดทังสองจุ ่
ดแล ้วก็จากเส ้นจากจุดแรกไปยังจุดทีสอง

22
จากนั้นเราก็ได ้เส ้นของกระบวนการทีเกิ
่ ดขึนและสามารถพิ
้ จารณาได ้ว่ากระบวน
การดังกล่าวเป็ นกระบวนการไหน

รู ปที่ 21 สรุปกระบวนการการเปลียนแปลงต่
่ าง ๆ ของอากาศ


เพือความเข ่
้าใจกระบวนการต่าง ๆ ของการเปลียนแปลงของอากาศมากยิ ่ น้
งขึ
จึงขอยกตัวอย่างประกอบดังนี ้


ตัวอย่ำง พิจารณาอากาศในห ้องทีความดั นบรรยากาศห ้องหนึ่ งทีอุ
่ ณหภูมิ 20 เซลเซียส
้ มพัทธ ์ 40% ให ้ใช ้แผนภูมไิ ซโครเมตริกหาค่าต่าง ๆ ของอากาศดังต่อไปนี ้
ความชืนสั
ก) อัตราส่วนความชืน้ (Humidity Ratio, )
ข) อุณหภูมก ิ ระเปาะเปี ยก (Wet Bulb Temperature, Tdb)
ค) อุณหภูมหิ ยดนาค ้ ้าง (Dew Point Temperature)
ง) ปริมาตรจาเพาะของอากาศ (Specific Volume)
จ) เอลทาลปี ้ หรือระดับพลังงานของอากาศ (Enthalpy, h)

จากแผนภูมไิ ซโครเมตริกรูปที่ 22

เมือเราทราบค่าอุณหภูมซ ่ึ นอุณหภูมก
ิ งเป็ ้ มพัทธ ์
ิ ระเปาะแห ้งและความชืนสั
ให ้เราพลอตจุดลงทีจุ่ ดตัดระหว่างเส ้นอุณหภูมก ิ ระเปาะแห ้ง 20 เซลเซียส
้ มพัทธ ์ 40% เราจะได ้จุด A ซึงเป็
และเส ้นความชืนสั ่ นจุดทีตรงกั
่ บคุณสมบัตข ิ องอากาศ ณ
จุดนั้น

23
รู ปที่ 22 แผนภูมไิ ซโครเมตริกตามตัวอย่างที่ 1

จากนั้นเราก็ทาการหาค่าต่าง ๆ ทีต
่ ้องการโดย
ก. อ ัตรำส่วนควำมชืน ้ ให ้เราลากเส ้นจากจุด A
ไปทางขวามือโดยขนานไปกับแกนของอุณหภูมก ิ ระเปาะแห ้งไปตัดกับเส ้นอัตราส่วนความ

ชืน(Humidity ratio, ) จากนั้นเราก็พลอทตรงจุดตัดทีจุ่ ด B
และเทียบอัตราส่วนจากจากสเกลค่าทีจุ่ ดดังกล่าวเราก็จะได ้อัตราส่วนความชืน้ เท่ากับ
0.0058 kg/kg Dry Air หรือ 5.8กรัม /kg Dry Air

ข. อุณหภู มก ิ ระเปำะเปี ยก ให ้เราลากเส ้นจากจุด A


ให ้ขนานไปกับเส ้นอุณหภูมก ิ ระเปาะเปี ยกไปจนตัดกับเส ้นอากาศอิมตั ่ วจากนั้นเรา
ก็พลอทจุดตรงจุดตัดระหว่างสองเส ้นดังกล่าวทีจุ่ ด C
และเทียบอัตราส่วนระหว่างเส ้นอุณหภูมก ิ ระเปาะเปี ยกสองเส ้นทีจุ่ ดดังกล่าวเรา
ก็จะได ้ค่าอุณหภูมกิ ระเปาะเปี ยกเท่ากับ 12.35 เซลเซียส

ค. อุณหภู มห ิ ยดน้ ำค้ำง หาได ้โดยการลากเส ้นไปทางซ ้ายมือของจุดA


โดยให ้ขนานไปกับเส ้นอุณหภูมก ิ ระเปาะแห ้งไปจนตัดกับเส ้นอากาศอิมตั ่ วทีจุ่ ด D
และเทียบอัตราส่วนระหว่างเส ้นอุณหภูมห ิ ยดนาค้ ้างสองเส ้นทีจุ่ ดดังกล่าว
เราก็จะได ้ค่าอุณหภูมหิ ยดนาค้ ้าง
6 เซลเซียส หมายความว่าถ ้าวางวัตถุไดก็ตามทีมี ่ อณุ หภูมิ 6 เซลเซียส

ทีสภาวะนี ้ จะมีหยดนาที
ก็ ้ เกิ
่ ดจากการกลันตั ่ วของไอนามาเกาะที
้ วั่ ตถุดงั กล่าว

24
ง. ปริมำตรจำเพำะของอำกำศ ให ้เราลากเส ้นจากจุด A
โดยขนานกับเส ้นแสดงค่าปริมาตรจาเพาะในแผนภูมไิ ซโครเมตริกจนไปตัดกับเส ้นไอ
้ มตั
นาอิ ่ วทีจุ่ ด E จากนั้นก็เทียบระยะสเกลหาค่า
้ ากับ 0.838 m3/kg
เราจะได ้ค่าปริมาตรจาเพาะตรงจุดนี เท่

จ. ค่ำเอลทำลปี ้ หรือระดับพลังงำนของอำกำศ หาได ้โดยลากเส ้นจากจุด A


ให ้ขนานกับเส ้น เอลทาลปี ้ ทีอยู ่ ด
่ ้านนอกของแผนภูมไิ ซโครเมตริก
ให ้ไปตัดกับเส ้นเอลทาลปี ทีจุด F จากนั้นก็เทียบสเกลหาค่า
้ ่
เราจะได ้ค่าเอลทาลปี ้ ทีจุ่ ดนี เท่
้ ากับ 34.8 kJ/kg

จากตัวอย่างแรกคงจะทาให ้เรามีความเข ้าใจถึงการหาค่าต่าง ๆ


ในแผนภูมไิ ซโครเมตริกกันบ ้างแล ้ว ในการหาค่าต่าง ๆ
นั้นตัวแปรทีเราจ
่ าเป็ นต ้องรู ้ตัวแปรอย่างน้อย 2 ตัวคือ
อุณหภูมก ิ ระเปาะแห ้งกับความชืนสั ้ มพัทธ ์ อุณหภูมกิ ระเปาะเปี ยกกับอุณหภูมก
ิ ระเปาะแห ้ง
หรืออุณหภูมก ิ ระเปาะแห ้งกับอุณหภูมห ิ ยดนาค้ ้าง
เราถึงจะสามารถหาค่าของคุณสมบัตท ี่ อได ้จากแผนภูมไิ ซโครเมตริก
ิ เหลื

สรุป
จากบทความข ้างต ้นคงทีจะท ่ าให ้
ผูอ้ า่ นได ้มีความเข ้าใจถึงคุณสมบัตข ิ องอากาศและการใช ้งานแผนภูมไิ ซโครเมตริก
บ ้างไม่มากก็นอ้ ย

ถึงแม้วา่ จะไม่ได ้เอาความรู ้เหล่านี ไปใช ้งานโดยตรงในงานออกแบบระบบปร ับ อากาศต่าง
ๆ แต่การทีเรามี่ ้
ความรู ้ทังในเรื ่ ณสมบัตข
องคุ ิ องอากาศและแผนภูมไิ ซโครเมตริก
ไว ้ในบางครงก็ ้ั อาจนาเอาความรู ้มาประยุกต ์
หรือวิเคราะห ์ในการแก ้ไขปัญหาทีเกิ ่ ดขึนหรื
้ อปร ับปรุงในงานทีร่ ับผิดชอบอยู่ ได ้

เอกสำรอ้ำงอิง
[1] Wilbert F/Jerold W. Jones, "REFRIGERATION & AIRCONDITIONING"
Second Edition.,McGRAWHILL
[2] Yunus A. Cengel/Michael Boles, Thermodynamics AnEngineering
Approach. Third Edition., McGRAWHILL

25

Anda mungkin juga menyukai